romrawin

กลูต้าไธโอน คืออะไร ประโยชน์อย่างไร ช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่

กลูต้าไธโอน , กลูต้า

กลูต้าไธโอนช่วยอะไรบ้าง ทำให้ขาวจริงไหม อันตรายหรือเปล่า แบบไหนดีสุด
กลูต้าไธโอน ชื่อที่คุ้นหูสำหรับคนที่เริ่มต้นกลับมาบำรุงผิวดูแลตัวเองเพื่ออยากให้มีผิวใสสุขภาพดี ดูเปล่งประกาย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักประโยชน์ หลักการทำงาน และข้อควรระวังที่แท้จริง บทความนี้มีคำตอบค่ะ

รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับกลูต้าไธโอน
- กลูต้าไธโอนคืออะไร ทำไมถึงเป็นที่สนใจของคนดูแลผิว
- ประโยชน์ของกลูต้าไธโอนมีอะไรบ้าง
- หน้าที่ของกลูต้าไธโอน
- ร่างกายของเราสามารถผลิตกลูต้าไธโอนเองได้หรือไม่
- กลูต้าช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่
- เปรียบเทียบกลูต้าแบบฉีดและกลูต้าแบบกิน
- กลูต้าอันตรายไหมมีผลข้างเคียงหรือไม่
- ใครเหมาะกับการใช้กลูต้า
- ใครควรหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้า
- วิธีการใช้กลูต้าที่เห็นผลสูงสุด
- ข้อควรระวังในการใช้กลูต้า
- ความแตกต่างระหว่างกลูต้าแท้ กลูต้าปลอม
- ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจในการใช้กลูต้า
- ผลข้างเคียงของการใช้กลูต้าไธโอน
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับกลูต้าไธโอน

กลูต้าไธโอนคืออะไร ทำไมถึงเป็นที่สนใจของคนดูแลผิว
กลูต้าไธโอน (Glutathione) คือสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติจากกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ ซีสเตอีน (Cysteine), กลูตามีน (Glutamine) และไกลซีน (Glycine) โดยจะพบมากในตับ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการล้างพิษของร่างกาย

หน้าที่หลักของกลูต้าไธโอนคือ ช่วยขจัดสารพิษ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแรง นอกจากนี้ กลูต้าไธโอนยังมีบทบาทในการช่วยรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ อย่างวิตามินซีและวิตามินอีให้สามารถทำงานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่สิ่งที่ทำให้กลูต้าไธโอนกลายเป็นที่สนใจในวงการความงามและการดูแลผิวก็คือ คุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้เมื่อใช้กลูต้าไธโอนอย่างต่อเนื่อง ผิวจะค่อยๆ ดูขาวกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ และดูสุขภาพดี

ดังนั้น แม้กลูต้าไธโอนจะไม่ได้เป็น "ยาผิวขาว" โดยตรง แต่ก็เป็นสารที่ช่วยส่งเสริมการมี ผิวดี ไม่เป็นอันตราย ทั้งในแง่ของการลดจุดด่างดำ ลดความหมองคล้ำ และช่วยให้ผิวแข็งแรงจากภายใน

ประโยชน์ของกลูต้าไธโอนมีอะไรบ้าง
กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระระดับเซลล์ที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องผิวพรรณ แต่ยังเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน การล้างสารพิษ และการทำงานของอวัยวะหลักในร่างกายอย่างครอบคลุม ดังนี้

1.ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงการเกิดเซลล์มะเร็ง
กลูต้า มีคุณสมบัติเด่นในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการทำลายเซลล์และกระตุ้นการกลายพันธุ์ในระดับ DNA การมีระดับกลูต้าที่เพียงพอในร่างกายช่วยลดโอกาสการเกิดเซลล์มะเร็งและความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.ต้านการอักเสบจากภายใน
กลูต้า เป็นสารตั้งต้นที่ช่วยลดกระบวนการอักเสบภายในร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น เบาหวาน หัวใจ และข้ออักเสบ โดยช่วยปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้เหมาะสม

3.เสริมการทำงานของตับ กำจัดสารพิษได้ดีขึ้น
ตับเป็นศูนย์กลางการล้างสารพิษ และกลูต้าไธโอนคือ “ผู้ช่วยมือหนึ่ง” ในการจับและเปลี่ยนรูปสารพิษให้อยู่ในรูปที่ร่างกายขับออกได้ง่าย จึงทำให้ กลูต้า มีบทบาทสำคัญต่อการดีท็อกซ์ร่างกาย

4.ช่วยการทำงานของปอด เพิ่มประสิทธิภาพในการหายใจ
ในปอด กลูต้าไธโอนทำหน้าที่ช่วยลดการอักเสบและฟื้นฟูเซลล์ที่สัมผัสกับมลพิษหรือฝุ่นควัน จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาศัยในเมือง หรือมีภาวะปอดอ่อนแอ เช่น โรคภูมิแพ้หรือหอบหืด

5.ปกป้องดวงตา ลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม
กลูต้า ยังมีบทบาทในการป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงวัยและคนที่ใช้สายตาเยอะ เพราะช่วยลดภาวะเครียดออกซิเดชันในเนื้อเยื่อตา

6.กลูต้าไธโอนเปลี่ยนแป้งสะสมให้เป็นพลังงาน
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของกลูต้าคือการสนับสนุน กระบวนการเมตาบอลิซึม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแป้งหรือกลูโคสที่สะสมในร่างกายให้กลายเป็นพลังงาน ช่วยให้ร่างกายกระฉับกระเฉงและลดการสะสมของไขมัน

7.ป้องกันโรคหัวใจ ลดการสะสมของไขมัน
ด้วยคุณสมบัติในการควบคุมระดับไขมันและลดการอักเสบของหลอดเลือด กลูต้าไธโอน จึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งยังช่วยให้ไขมันไม่สะสมจนเกิดอาการตีบตัน

8.ช่วยการไหลเวียนของเลือด
กลูต้าไธโอนมีผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือดและการส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผิวดูเปล่งปลั่ง สดใส และลดความเมื่อยล้า

9.ปกป้องและชะลอการเสื่อมของเซลล์
กลูต้าไธโอนช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อม จึงมีบทบาทในการ ชะลอวัย และดูแลร่างกายให้ยังคงสมดุลแข็งแรง

10.ลดความเสื่อมของอวัยวะทุกระบบ
ไม่ว่าจะเป็นผิว สมอง หัวใจ หรือไต กลูต้า ต่างมีบทบาทในการชะลอการเสื่อมของอวัยวะเหล่านี้ ด้วยการลดการอักเสบและป้องกันการทำลายของอนุมูลอิสระในระดับลึก

11.เสริมภูมิคุ้มกัน กระตุ้นเม็ดเลือดขาว
กลูต้าไธโอน ส่งเสริมการผลิตเม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค ช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เหมาะสำหรับผู้ที่เจ็บป่วยบ่อย หรือพักผ่อนน้อย

12.ลดการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวดูกระจ่างใส
กลูต้าไธโอนมีคุณสมบัติในการ ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญที่ใช้ในการสร้างเมลานินหรือเม็ดสีผิว เมื่อการสร้างเมลานินลดลง ผิวจึงดูกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ และดูสุขภาพดี

หน้าที่ของกลูต้าไธโอน
แม้หลายคนจะคุ้นชื่อ “กลูต้า” จากผลิตภัณฑ์ผิวขาวหรืออาหารเสริมดูแลผิว แต่แท้จริงแล้ว กลูต้าไธโอน (Glutathione) มีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงามแบบครอบคลุม มาดูกันว่ากลูต้ามีหน้าที่สำคัญด้านใดบ้าง

1.กลูต้าไธโอนช่วยต้านอนุมูลอิสระ จากภายใน
กลูต้าไธโอนมีคุณสมบัติในการ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการทำลายเซลล์ในร่างกายและเร่งกระบวนการเสื่อมสภาพของผิวและอวัยวะต่างๆ การเสริมกลูต้าช่วยให้เซลล์แข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง และทำให้ผิวดูสดใสจากภายใน

2.กลูต้าไธโอนช่วยฟื้นฟูและดูแลผิวพรรณ
หนึ่งในเหตุผลที่กลูต้าได้รับความนิยมในวงการความงามก็คือ การช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ กลูต้าไธโอนสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการผลิตเมลานิน หรือเม็ดสีผิว ทำให้รอยดำจางลง ผิวดูสว่างขึ้น ไม่ทำลายผิว

3.กลูต้าไธโอนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
กลูต้าไม่ได้แค่บำรุงผิว แต่ยังช่วย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแรง โดยทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม ลดโอกาสการเจ็บป่วย โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

4.กลูต้าไธโอนช่วยช่วยล้างสารพิษ (Detox) ให้ตับทำงานดีขึ้น
กลูต้าไธโอนมีบทบาทสำคัญในระบบล้างพิษของร่างกาย โดยเฉพาะที่ ตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการกำจัดของเสีย กลูต้าช่วยจับสารพิษ สารเคมี และโลหะหนัก จากนั้นเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถขับออกได้ง่าย ทำให้ตับทำงานได้ดีและลดความเสี่ยงของโรคตับ

5.กลูต้าไธโอนช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
การอักเสบเรื้อรังเป็นหนึ่งในต้นตอของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เบาหวาน หัวใจ และข้อเสื่อม กลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ในการ ลดระดับการอักเสบ โดยช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันและลดการทำลายของเซลล์อักเสบในร่างกาย

6.กลูต้าไธโอนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสารอาหารอื่น
กลูต้าไม่ได้ทำงานเดี่ยวๆ แต่ยังช่วย รีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และโคเอนไซม์คิว10 ให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ส่งผลให้การดูแลผิวและร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ร่างกายของเราสามารถผลิตกลูต้าไธโอนเองได้หรือไม่
ร่างกายสามารถผลิตกลูต้าไธโอนได้เอง ตามธรรมชาติ โดยจะอาศัยการทำงานร่วมกันของกรดอะมิโน 3 ชนิดได้แก่

• กลูตามีน (Glutamine)
• ซีสเตอีน (Cysteine)
• ไกลซีน (Glycine)

กรดอะมิโนเหล่านี้ได้จากอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และผักบางชนิด

โดยทั่วไป ตับจะเป็นอวัยวะหลักที่สังเคราะห์ กลูต้าไธโอน เพื่อใช้ในกระบวนการล้างสารพิษ เสริมภูมิคุ้มกัน และต้านอนุมูลอิสระ หากร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและไม่มีความเครียดหรือปัจจัยที่ทำให้กลูต้าถูกใช้มากเกินไป ร่างกายก็สามารถสร้างและรักษาระดับกลูต้าไธโอนได้ดี

กลูต้าช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่
คำถามยอดฮิตของคนที่ใส่ใจเรื่องผิวพรรณคือ “กลูต้า ช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือเปล่า” จริงๆแล้วกลูต้าไธโอน สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกคน และไม่ใช่การเปลี่ยนสีผิวโดยตรง

กลูต้าทำงานอย่างไรกับสีผิว
กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทในการยับยั้งเอนไซม์ชื่อว่า ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตเมลานิน หรือเม็ดสีผิว

เมลานินมี 2 ประเภท
- เมลานินสีเข้ม (Eumelanin) - ทำให้ผิวคล้ำ
- เมลานินสีอ่อน (Pheomelanin) - ทำให้ผิวดูสว่าง

กลูต้าจะช่วย เปลี่ยนสมดุลการสร้างเมลานิน ให้หันมาผลิตเม็ดสีอ่อนมากขึ้น และลดเม็ดสีเข้มลง จึงทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นเมื่อใช้เป็นระยะเวลานานและต่อเนื่อง

แล้วกลูต้าทำให้ “ขาว” จริงไหม
คำว่า “ผิวขาว” ขึ้นอยู่กับพื้นฐานสีผิวของแต่ละคน กลูต้าไม่สามารถเปลี่ยนผิวสองสีให้กลายเป็นผิวขาวอมชมพู ได้ทันทีหรือถาวร แต่กลูต้าจะช่วยให้ผิวดู กระจ่างใส เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ลดจุดด่างดำ และดูสุขภาพดีจากภายในมากขึ้น

ใครที่ใช้กลูต้าแล้วเห็นผลลัพธ์ค่อนข้างชัดเจน
- มีพื้นฐานสีผิวค่อนข้างขาวอยู่แล้ว
- ดูแลตัวเองดี ทั้งเรื่องอาหาร การพักผ่อน และการป้องกันแสงแดด
- ใช้กลูต้าร่วมกับวิตามินซี หรือสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับกลูต้าไธโอน
- กลูต้าช่วย “ปรับสภาพผิว” มากกว่าการทำให้ “ขาว”
- การเสริมกลูต้าอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องควบคู่กับพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น ทาครีมกันแดด เลี่ยงมลภาวะ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- การฉีดกลูต้าเพื่อให้ผิวขาวเร็ว ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น และต้องระวังเรื่องความปลอดภัย

กลูต้าช่วยให้ผิวดูขาว กระจ่างใสขึ้นได้จริงในระดับหนึ่ง โดยผ่านกระบวนการลดการสร้างเม็ดสีเข้ม แต่ไม่ใช่ “ยาวิเศษ” ที่ทำให้ผิวขาวทันทีหรือถาวร การดูแลผิวให้ดีจากภายในอย่างต่อเนื่องต่างหาก คือกุญแจสำคัญสู่ผิวดีอย่างแท้จริง

เปรียบเทียบกลูต้าแบบฉีดและกลูต้าแบบกิน
กลูต้าไธโอน (Glutathione) คือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ล้างสารพิษ และช่วยให้ผิวพรรณดูกระจ่างใส หลายคนที่เริ่มสนใจกลูต้ามักสงสัยว่า "ควรเลือกกลูต้าแบบฉีดหรือกลูต้าแบบกิน" ซึ่งทั้งสองแบบให้ผลลัพธ์ในแนวทางเดียวกัน แต่แตกต่างกันในหลายด้าน ดังนี้

กลูต้าแบบฉีด (Glutathione Injection)
ข้อดีของกลูต้าแบบฉีด
กลูต้าแบบฉีดเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง กลูต้าแบบฉีดจึงดูดซึมได้รวดเร็วและให้ผลค่อนข้างไว โดยเฉพาะในเรื่องของผิวที่ดูสว่างขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ และจุดด่างดำจางลงอย่างเห็นได้ชัด จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลในระยะสั้น เช่น เตรียมตัวถ่ายแบบหรือออกงานสำคัญ

ข้อควรระวังของกลูต้าแบบฉีด
เนื่องจากเป็นการฉีดกลูต้าเข้าสู่ร่างกายโดยตรง จึงต้องกระทำโดยแพทย์หรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีโอกาสเกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง วิงเวียน หรือคลื่นไส้ได้ และหากฉีดกลูต้าบ่อยเกินไปอาจส่งผลต่อการทำงานของตับหรือไต ค่าใช้จ่ายของกลูต้าแบบฉีดยังถือว่าสูงกว่ารูปแบบอื่น

กลูต้าแบบกิน (Glutathione Supplement)
ข้อดีของกลูต้าแบบกิน
กลูต้าแบบกินเป็นรูปแบบที่สะดวก ไม่เป็นอันตรายและนิยมมากที่สุด เพราะสามารถเสริมเป็นอาหารเสริมในชีวิตประจำวันได้ง่าย นอกจากนี้ยังมักมีการผสมวิตามินซี วิตามินอี หรือสารสกัดธรรมชาติอื่นๆ ที่ช่วยเสริมการดูดซึมและเสริมฤทธิ์ของกลูต้าให้ดียิ่งขึ้น

ข้อควรระวังของกลูต้าแบบกิน
การดูดซึมของกลูต้าแบบกินอาจไม่เต็ม 100% เนื่องจากต้องผ่านระบบย่อยอาหารและตับก่อนเข้าสู่กระแสเลือด อีกทั้งยังต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องในการรับประทานกลูต้าอย่างน้อย 1-3 เดือนจึงจะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจน ควรเลือกผลิตภัณฑ์กลูต้าที่มีคุณภาพ มี อย.และระบุส่วนผสมชัดเจน

สรุปความแตกต่างระหว่างกลูต้าแบบฉีดและกลูต้าแบบกิน

ปัจจัย

กลูต้าแบบฉีด

กลูต้าแบบกิน

ความรวดเร็วในการเห็นผล

รวดเร็ว เห็นผลใน 1-2 สัปดาห์

ช้ากว่า ต้องใช้เวลาต่อเนื่อง

การดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง

ผ่านระบบย่อยก่อนดูดซึม

ความสะดวกในการใช้งาน

ต้องเข้าคลินิก

รับประทานเองได้ง่ายที่บ้าน

ความปลอดภัย

เสี่ยงแพ้ ต้องดูแลโดยแพทย์

ปลอดภัยกว่าเมื่อใช้ถูกวิธี

ค่าใช้จ่าย

ราคาสูงกว่ามาก

ราคาย่อมเยาและควบคุมง่าย

กลูต้าอันตรายไหมมีผลข้างเคียงหรือไม่
กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในตับ ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการล้างสารพิษ เสริมภูมิคุ้มกัน และปกป้องเซลล์จากความเสื่อม ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เอง กลูต้าจึงได้รับความนิยมอย่างมากในวงการสุขภาพและความงาม แต่ก็มีคำถามตามมาว่า กลูต้าอันตรายหรือไม่ และมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า

กลูต้าโดยธรรมชาติไม่เป็นอันตราย
หากร่างกายผลิตกลูต้าได้ในระดับปกติ หรือได้รับเสริมในรูปแบบที่ปลอดภัย เช่น การรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มระดับกลูต้าในร่างกาย ก็ไม่มีความเสี่ยงใดๆ และถือว่ากลูต้าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและผิวพรรณดูดีขึ้นจากภายใน

กลูต้าแบบกิน ไม่เป็นอันตรายเมื่อับประทานในขนาดที่เหมาะสม
กลูต้าแบบรับประทานถือว่า ไม่เป็นอันตรายที่สุดในบรรดารูปแบบเสริมกลูต้า โดยเฉพาะหากเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มี อย.และรับประทานตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง ผลข้างเคียงที่พบได้มีเพียงเล็กน้อย เช่น ท้องอืด หรือขับถ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้น และมักหายไปเอง

กลูต้าแบบฉีด ต้องใช้อย่างระมัดระวัง
แม้กลูต้าแบบฉีดจะดูดซึมเร็วและให้ผลไวกว่าในเรื่องผิวกระจ่างใส แต่ก็มีความเสี่ยงมากกว่าการรับประทานกลูต้า โดยเฉพาะหากฉีดกลูต้าในสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่มีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น

- อาการแพ้
- ความดันโลหิตต่ำ
- คลื่นไส้ วิงเวียน
- ภาวะไตหรือตับทำงานหนักหากฉีดกลูต้าต่อเนื่องเป็นเวลานาน

ข้อเสี่ยงใช้กลูต้าแล้วเป็นอันตราย
- ใช้กลูต้าเกินขนาดหรือไม่เหมาะกับร่างกาย
- ใช้ผลิตภัณฑ์กลูต้าปลอม หรือไม่มี อย.
- ฉีดกลูต้ากับผู้ที่มีโรคประจำตัวโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- ไม่ได้รับการดูแลจากหมอในกรณีการฉีดกลูต้า

กลูต้าไม่ใช่สารอันตราย หากเลือกใช้ให้เหมาะสมกับร่างกาย กลูต้าแบบกิน เหมาะกับการดูแลสุขภาพระยะยาว กลูต้าแบบฉีด เห็นผลไวแต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ หลีกเลี่ยงกลูต้าปลอม กลูต้าฉีดที่ไม่มีมาตรฐาน เพราะเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว

ใครเหมาะกับการใช้กลูต้า
กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ แต่ในบางช่วงวัยหรือภาวะต่างๆ ร่างกายอาจผลิตกลูต้าได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ ภูมิคุ้มกันลดลง หรือผิวพรรณหมองคล้ำ ดังนั้น “การใช้กลูต้า” เสริมจึงเหมาะสำหรับคนบางกลุ่มที่ต้องการดูแลทั้งสุขภาพภายในและผิวพรรณภายนอก ดังนี้

1.กลูต้าไธโอนเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
กลุ่มนี้เหมาะมากกับการเสริมกลูต้า เพราะกลูต้าช่วยลดการสร้างเม็ดสีเข้มในผิว ทำให้สีผิวดูเรียบเนียน สม่ำเสมอ และกระจ่างใสขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ผิวคล้ำจากแสงแดด ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำ

2.กลูต้าไธโอนเหมาะสำหรับผู้ที่เผชิญกับมลภาวะ และความเครียดสะสม
ในชีวิตประจำวัน คนที่ต้องเผชิญกับฝุ่น ควัน สารเคมี หรือแม้แต่ความเครียด จะทำให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระมากขึ้น กลูต้าจึงมีบทบาทในการช่วยล้างสารพิษ ต้านความเสื่อม และเสริมภูมิคุ้มกันให้เซลล์แข็งแรงขึ้น

3.กลูต้าไธโอนเหมาะสำหรับคนที่พักผ่อนน้อย หรือใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ
กลุ่มคนทำงานหนัก นอนดึก หรือไม่ค่อยมีเวลาดูแลสุขภาพ จะทำให้ระดับกลูต้าในร่างกายลดลงได้เร็ว กลูต้าจึงเหมาะสำหรับการเสริมในช่วงที่ร่างกายอ่อนล้า ช่วยให้ฟื้นตัวไวขึ้น และผิวไม่โทรมแม้จะพักผ่อนไม่พอ

4.กลูต้าไธโอนเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวก่อนออกงานหรือโอกาสสำคัญ
กลูต้าแบบฉีดหรือแบบกินในสูตรเข้มข้น มักถูกเลือกใช้โดยผู้ที่ต้องการปรับผิวให้ดูดีในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น เจ้าสาวก่อนแต่งงาน ดารา นายแบบ นางแบบ หรือบุคคลสาธารณะที่ต้องการผิวดูสว่างและเนียนใสทันที

5.กลูต้าไธโอนเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หรือเจ็บป่วยบ่อย
กลูต้ามีคุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ลดการอักเสบเรื้อรัง และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นจากความเจ็บป่วยเล็กน้อย

6.กลูต้าไธโอนเหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคเรื้อรัง หรืออยู่ในกลุ่มวัย 30 ปีขึ้นไป
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตกลูต้าได้น้อยลงตามธรรมชาติ ทำให้เซลล์เสื่อมง่ายขึ้นและเกิดภาวะอักเสบจากอนุมูลอิสระได้บ่อยขึ้น การเสริมกลูต้าจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับหัวใจ ตับ หรือระบบประสาทได้

ใครควรหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้า
แม้ว่า กลูต้าไธโอน (Glutathione) จะเป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ และมีประโยชน์ทั้งในด้านสุขภาพและความงาม แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน การใช้กลูต้าโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดของร่างกาย อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะในกลุ่มต่อไปนี้ที่ “ควรหลีกเลี่ยงหรือใช้ด้วยความระมัดระวังในการใช้กลูต้า”

1.ผู้ที่มีโรคตับหรือไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้า
กลูต้าเป็นสารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของตับโดยตรง และขับออกผ่านทางไต หากผู้ใช้มีโรคตับหรือโรคไตเรื้อรังอยู่แล้ว การเสริมกลูต้าในปริมาณมากโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้การทำงานของอวัยวะเหล่านี้แย่ลง และเสี่ยงต่อการสะสมสารในร่างกาย

2.ผู้ที่แพ้กลูต้าไธโอน หรือสารประกอบที่ใช้ร่วมในผลิตภัณฑ์
แม้จะพบได้น้อย แต่บางคนอาจมีอาการ แพ้กลูต้าไธโอน หรือส่วนผสมร่วม เช่น วิตามินซี, NAC, สารสังเคราะห์บางชนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ผื่นคัน หรือแน่นหน้าอก
โดยเฉพาะกรณีฉีดกลูต้า หากมีอาการแพ้รุนแรง อาจเสี่ยงถึงขั้นช็อกได้

3.สตรีมีครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้า
ในขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่เพียงพอว่าการใช้กลูต้าในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมลูกปลอดภัย 100% ดังนั้นควร หลีกเลี่ยงการใช้กลูต้าในช่วงนี้ หรือใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

4.เด็กและวัยรุ่นที่ยังไม่ถึงวัยเจริญเติบโตเต็มที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้า
ร่างกายของเด็กและวัยรุ่นสามารถสร้างกลูต้าได้เพียงพออยู่แล้ว การเสริมกลูต้าเกินความจำเป็นในช่วงวัยนี้อาจรบกวนระบบการเจริญเติบโตและการทำงานของอวัยวะบางส่วนโดยไม่จำเป็น จึงไม่ควรใช้โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ

5.ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หรือกำลังใช้ยากดภูมิควรหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้า
กลูต้าไธโอนอาจกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน หากผู้ใช้มีโรคที่ต้องควบคุมภูมิคุ้มกัน เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) หรือโรคที่ต้องใช้ยากดภูมิ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์กับยาที่ใช้อยู่

6.ผู้ที่หวังผล “ผิวขาวทันใจ” โดยไม่สนใจข้อควรระวังควรหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้า
แม้กลูต้าจะมีผลช่วยเรื่องผิวกระจ่างใส แต่การเร่งผลลัพธ์แบบผิดวิธี เช่น ฉีดในปริมาณสูงเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะภายในโดยไม่รู้ตัว
กลุ่มนี้จึงควร หลีกเลี่ยงการใช้กลูต้าอย่างไม่ปลอดภัยหรือเกินความจำเป็น

วิธีการใช้กลูต้าที่เห็นผลสูงสุด
กลูต้าไธโอน (Glutathione) คือสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรักผิว เนื่องจากช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ และยังมีบทบาทสำคัญในการล้างสารพิษและเสริมภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม การใช้กลูต้าให้ได้ “ผลลัพธ์สูงสุด” ไม่ใช่แค่เลือกกินหรือฉีดกลูต้าเท่านั้น แต่ต้องอาศัยปัจจัยร่วมหลายด้าน

1.เลือก "กลูต้า" ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
ควรเลือกผลิตภัณฑ์กลูต้าที่มี ฉลากชัดเจน มีเลข อย.และระบุส่วนผสมครบถ้วน โดยเฉพาะกลูต้ารูปแบบรับประทาน ควรเลือกที่มีส่วนเสริม เช่น

• วิตามินซี : ช่วยเพิ่มการดูดซึมของกลูต้า
• กรดอะมิโน NAC, Alpha Lipoic Acid (ALA): เสริมกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ
• สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดเปลือกสน หรือเมล็ดองุ่น

2.ทานกลูต้าควบคู่กับวิตามินซี
วิตามินซีช่วย รีไซเคิลกลูต้าที่ใช้แล้วให้กลับมาทำงานได้อีก จึงเสริมประสิทธิภาพของกลูต้าไธโอนได้ชัดเจนมากขึ้น แนะนำให้รับประทานวิตามินซีร่วมกับกลูต้าทุกวัน เช่น
• กลูต้า 250-500 มก.
• วิตามินซี 500-1,000 มก.

3.ใช้กลูต้าอย่างต่อเนื่อง
การใช้กลูต้าควร ต่อเนื่องอย่างน้อย 1-3 เดือน เพื่อให้ร่างกายมีระดับกลูต้าที่สม่ำเสมอในเลือด การใช้เพียงช่วงสั้นๆ หรือหยุดบ่อยจะทำให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในด้านผิวพรรณซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับสมดุล

4.ฉีดกลูต้าภายใต้การดูแลของแพทย์ (หากต้องการผลไว)
สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เรื่องผิวกระจ่างใสอย่างรวดเร็ว เช่น ภายในไม่กี่สัปดาห์ กลูต้าแบบฉีด อาจตอบโจทย์ แต่ต้องฉีดโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อควบคุมปริมาณ ความถี่ และลดความเสี่ยงของอาการแพ้หรือผลข้างเคียง
การฉีดกลูต้าที่ได้ผลนิยมอยู่ที่ 600-1,200 มก./ครั้ง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง (ขึ้นกับร่างกายของแต่ละคน)

5.ดูแลสุขภาพร่วมด้วย
แม้จะใช้กลูต้าอย่างถูกต้อง หากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันไม่เหมาะสม ผลลัพธ์ก็อาจไม่ชัดเจนเท่าที่ควร

แนะนำให้
• ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยระบบล้างพิษ
• นอนหลับให้เพียงพอ
• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่
• ทาครีมกันแดดทุกวัน
• รับประทานผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

การที่เราดูแลสุขภาพร่วมด้วยจะช่วยให้กลูต้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเห็นผลทั้งด้านผิวและสุขภาพโดยรวม

ข้อควรระวังในการใช้กลูต้า
• เลือกผลิตภัณฑ์กลูต้าที่มี อย.และแหล่งผลิตน่าเชื่อถือ
• หลีกเลี่ยงการฉีดกลูต้าเอง ควรให้แพทย์เป็นผู้ดำเนินการ
• ผู้ที่มีโรคตับ ไต หรือโรคเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
• ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็ก สตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร
• ระวังอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้
• อย่าใช้กลูต้าในปริมาณสูงเกินความจำเป็นต่อเนื่องเป็นเวลานาน
• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์กลูต้าปลอม หรือที่โฆษณาว่า “ขาวไว” แบบผิดปกติ

ความแตกต่างระหว่างกลูต้าแท้ กลูต้าปลอม
“กลูต้าปลอม” หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานก็แพร่หลายเช่นกัน การใช้กลูต้าที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงควรรู้จัก ข้อแตกต่างที่ชัดเจน ระหว่างกลูต้าแท้กับกลูต้าปลอม ว่าแตกต่างกันอย่างไร

1.แหล่งผลิตและความน่าเชื่อถือ
กลูต้าแท้
ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP หรือ ISO ผ่านการรับรองจาก อย.ทั้งในไทยหรือประเทศต้นทางอย่างญี่ปุ่น สหรัฐฯ หรือเกาหลี ฉลากชัดเจน มีแหล่งผลิตและหมายเลขทะเบียน อย.

กลูต้าปลอม
ไม่ระบุแหล่งผลิตที่แน่ชัด ฉลากเลือนลาง ไม่มี อย.หรือปลอมแปลงเอกสาร มักขายในช่องทางที่ไม่มีการควบคุม เช่น โซเชียลมีเดียที่ไม่ระบุร้าน

2.ส่วนประกอบภายใน
กลูต้าแท้
มีการระบุส่วนผสมครบถ้วน เช่น Glutathione, Vitamin C, ALA, NAC
ปริมาณกลูต้าอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัย (เช่น 250-500 มก.สำหรับแบบกิน)

กลูต้าปลอม
มักไม่มีการระบุส่วนผสม หรือแอบผสมสารอันตราย เช่น สเตียรอยด์, ไฮโดรควิโนน หรือสารฟอกขาว ซึ่งห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บางครั้งใส่กลูต้าปริมาณสูงเกินมาตรฐานเพื่อให้เห็นผลไว ซึ่งเป็นอันตราย

3.ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
กลูต้าแท้
ให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการรับประทานหรือฉีดกลูต้า ผิวจะค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอขึ้น

กลูต้าปลอม
มักโฆษณาว่า “ขาวไว” ภายใน 7-14 วัน อาจทำให้ผิวซีดผิดธรรมชาติ หรือเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง แพ้ง่าย ระบบขับถ่ายผิดปกติ หรือผลระยะยาวต่อไตและตับ

ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจในการใช้กลูต้า
1.กลูต้าไม่ใช่ยาวิเศษผิวขาว
กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิวเข้ม ทำให้ผิวค่อยๆ กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอขึ้น แต่ ไม่ได้เปลี่ยนสีผิวโดยทันที และ ไม่สามารถทำให้ผิวขาวลอกแบบผิดธรรมชาติได้ ดังนั้นควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนใช้

2.ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
แม้จะใช้กลูต้ารูปแบบเดียวกัน แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ พันธุกรรม, สภาพผิว, พฤติกรรมการดูแลตัวเอง เช่น การทาครีมกันแดด พักผ่อน และการรับประทานอาหาร

3.กลูต้าต้องใช้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ใช้ครั้งเดียวแล้วเห็นผล
ไม่ว่าจะเป็นกลูต้าแบบกินหรือแบบฉีด การเห็นผลต้องใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะแบบรับประทาน ควรใช้ อย่างน้อย 1-3 เดือนขึ้นไป และใช้ควบคู่กับวิตามินซีหรือสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพ

4.ต้องเลือกกลูต้าที่ได้มาตรฐาน
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเลข อย.ชัดเจน ระบุส่วนประกอบครบ และมาจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ หลีกเลี่ยงกลูต้าปลอมหรือที่โฆษณาเกินจริง เช่น “ขาวใน 7 วัน” ซึ่งอาจมีการผสมสารอันตราย เช่น สเตียรอยด์ หรือสารฟอกสีผิว

5.ไม่ใช่ทุกคนที่ควรใช้กลูต้า
ผู้ที่มีโรคตับ ไตเรื้อรัง, ตั้งครรภ์, ให้นมบุตร หรือผู้ที่มีประวัติแพ้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ เพราะแม้กลูต้าจะไม่เป็นอันตรายในคนทั่วไป แต่ในบางกลุ่มอาจเกิดผลข้างเคียงหรือกระทบต่อสุขภาพได้

ผลข้างเคียงของการใช้กลูต้าไธโอน
กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในร่างกายตามธรรมชาติ และยังนิยมใช้ในรูปแบบอาหารเสริมหรือการฉีดเพื่อดูแลสุขภาพและผิวพรรณ แม้โดยทั่วไปจะถือว่าไม่เป็นอันตรายเมื่อใช้ในขนาดที่เหมาะสม แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด ผลข้างเคียง โดยเฉพาะในบางกลุ่มคน หรือเมื่อใช้กลูต้าผิดวิธี

1.อาการแพ้
ผู้ใช้บางรายอาจมี อาการแพ้กลูต้าไธโอนหรือส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ซึ่งพบได้ทั้งแบบรับประทานและแบบฉีด

อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ผื่นแดง
- คันตามผิวหนัง
- คลื่นไส้หรือแน่นท้อง
- เวียนศีรษะหรือมึนศีรษะ

หากเป็นการแพ้รุนแรง (ในกรณีของกลูต้าแบบฉีด) อาจเกิดอาการ หายใจติดขัด หรือภาวะช็อก ซึ่งถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่ต้องพบแพทย์ทันที

2.ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร
กลูต้าแบบรับประทานอาจทำให้บางคนมี อาการไม่สบายท้องในช่วงแรกของการใช้ เช่น

- ปวดท้องหรือท้องอืด
- ท้องเสียเล็กน้อย
- การขับถ่ายเปลี่ยนแปลง
อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นชั่วคราวในช่วงร่างกายกำลังปรับตัว และมักหายไปภายในไม่กี่วัน

3.ผลกระทบต่อไตและตับ (เมื่อใช้ในปริมาณมากหรือระยะยาวโดยไม่ควบคุม)
แม้ว่ากลูต้าจะช่วยการทำงานของตับในการล้างพิษ แต่หาก ใช้ในปริมาณสูงเกินความจำเป็น หรือฉีดเข้าร่างกายอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการควบคุม อาจทำให้ ตับและไตทำงานหนักเกินไป
ในระยะยาวกลูต้าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไตอักเสบหรือทำให้ค่าการทำงานของตับผิดปกติได้

4.ทำให้ผิวไวต่อแสงในบางราย
แม้กลูต้าจะช่วยลดเม็ดสีผิว แต่ในบางรายอาจทำให้ ผิวบางลงเล็กน้อยหรือไวต่อแสงแดดมากขึ้น หากไม่ได้ใช้ครีมกันแดดร่วมด้วย อาจทำให้เกิดฝ้า กระ หรือผิวหมองได้ง่าย จึงควรป้องกันแสงแดดทุกวันควบคู่กับการใช้กลูต้า

5.ความเสี่ยงจากการใช้กลูต้าปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน
ผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุดมักไม่ได้มาจากกลูต้าแท้ แต่เกิดจากกลูต้าปลอม หรือผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบผสมสารอันตราย เช่น สเตียรอยด์, ไฮโดรควิโนน, หรือสารฟอกสี

ผลที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- ผิวบางไวแสงผิดปกติ
- ภูมิคุ้มกันแปรปรวน
- เสี่ยงต่อภาวะตับหรือไตวายหากใช้ต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับกลูต้าไธโอน
กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง มีบทบาทสำคัญในการล้างสารพิษ เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสื่อมของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการสร้างเมลานิน จึงส่งผลให้ผิวค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น การใช้กลูต้ามีทั้งแบบรับประทานและแบบฉีด ซึ่งให้ผลลัพธ์แตกต่างกันตามวิธีการดูดซึม แม้โดยทั่วไปจะไม่อันตราย แต่ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ผู้ที่มีโรคตับ ไต ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
เรื่อง บทความน่ารู้ ที่คุณอาจสนใจ