โปรแกรมฉีดผิวกี่ครั้งเห็นผล อันตรายหรือไม่ ข้อดีข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
ฉีดผิว
ฉีดผิวกี่ครั้งเห็นผล อันตรายหรือไม่ ข้อดีข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
ฉีดผิวกี่ครั้งเห็นผล อันตรายหรือไม่ ข้อดีข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
ฉีดผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายคนสนใจ เพราะนอกจากจะเป็นการเติมสารอาหารให้กับร่างกายของเราแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ปรับผิวให้เราดูใสขึ้น
แล้วการฉีดผิวดีจริงหรือไม่ ต้องฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล มีข้อดีและข้อควรระวังอะไรบ้าง เรามีคำตอบให้ในบทความนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจสำหรับใครก็ตามที่กำลังอยากทำหัตถการฉีดผิว
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการฉีดผิว
- การฉีดผิวคืออะไร
- หลักการทำงานของการฉีดผิว
- การฉีดผิวช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- ข้อดีของการฉีดผิว
- ข้อควรระวังในการฉีดผิว
- ใครเหมาะกับการฉีดผิวบ้าง
- ใครควรระวังในการฉีดผิว
- ฉีดผิวอันตรายหรือไม่
- ควรเริ่มฉีดผิวตั้งแต่อายุเท่าไหร่
- การเตรียมตัวก่อนการฉีดผิว
- การดูแลตัวเองหลังการฉีดผิว
- ฉีดผิวกี่ครั้งถึงเห็นผล
- ฉีดผิวกับดริปผิว ต่างกันอย่างไร
- ฉีดผิวแล้วสามารถดื่มแอลกอฮอลล์ได้หรือไม่
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดผิว
- Q And A ยอดฮิตของการฉีดผิว
การฉีดผิวคืออะไร
การฉีดผิว หรือที่มักเรียกกันว่า การฉีดวิตามินผิว คือการบำรุงผิวจากภายใน ด้วยการนำสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา เช่น วิตามิน หรือสารต้านอนุมูลอิสระ เข้าไปยังชั้นผิวโดยตรงผ่านการฉีดผิวเข้าสู่เส้นเลือดดำหรือชั้นผิวหนัง ตามแต่ละสูตรและจุดประสงค์ในการดูแล
หลักการทำงานของการฉีดผิว
การฉีดผิว คือการส่งสารบำรุง เช่น วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ หรือแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านเส้นเลือด หรือในบางกรณีอาจเป็นการฉีดผิวเข้าชั้นผิวหนังโดยเฉพาะ (เช่น Mesotherapy) ซึ่งมีเป้าหมายหลักของการฉีดผิว คือการบำรุงเซลล์ผิวจากภายใน เพื่อให้ผิวได้รับสารอาหารแบบเต็มที่ มากกว่าการรับประทานวิตามิน

โปรแกรมฉีดผิวกี่ครั้งเห็นผล อันตรายหรือไม่ ข้อดีข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
โปรแกรมฉีดผิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลกระบวนการที่เกิดขึ้นในร่างกาย เมื่อฉีดผิว
1.เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง (Intravenous - IV)
เมื่อฉีดผิวผ่านเส้นเลือด เช่น วิตามินซี หรือสารต้านอนุมูลอิสระ สารเหล่านี้จะเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงทันที
ร่างกายไม่ต้องผ่านกระบวนการดูดซึมทางระบบย่อยอาหาร ทำให้ ได้รับสารในปริมาณที่เข้มข้น
สารบำรุงเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปยังอวัยวะต่าง ๆ รวมถึง เซลล์ผิวหนัง (skin cells)
2.ฟื้นฟูและกระตุ้นเซลล์ผิวในระดับลึก
เมื่อฉีดผิวแล้วสารจะถูกส่งไปถึงผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณชั้น Dermis (ชั้นหนังแท้) ซึ่งเป็นชั้นที่มีคอลลาเจนและเส้นเลือดอยู่มาก
วิตามินซีจะทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่ทำให้ผิวแน่น ยืดหยุ่น
วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยลดการทำลายเซลล์ผิวจากมลภาวะ แสงแดด และอนุมูลอิสระ
3.ซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว
เซลล์ผิวที่เคยถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพจากแสง UV หรือความเครียดจากสิ่งแวดล้อม เมื่อฉีดผิว วิตามินจะส่งเข้าไปในร่างกายทำให้ร่างกายของเราได้รับการซ่อมแซมจากสารที่ถูกส่งเข้าไป
ผิวจึงดู “สดใสขึ้น” ด้วยเหตุผลจากภายใน ไม่ใช่แค่ผิวขาว แต่คือผิวที่ แข็งแรง ชุ่มชื้น และกระจ่างใส
4.ขับของเสียและลดความหมองคล้ำ
วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีรวม หรือกลูต้าไธโอน (ในบางสูตรที่คลินิกใช้โดยแพทย์) มีหน้าที่ในการ ช่วยตับในการขจัดสารพิษ (detoxification)
เมื่อตับทำงานได้ดี ร่างกายจะขับของเสียออกจากระบบได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ผิวไม่สะสมสารตกค้าง ผิวจึงดูใสขึ้น ลดความหมองคล้ำ
ทำไมการฉีดผิวจึงเห็นผลเร็วกว่าการทานวิตามิน
เนื่องจากการฉีดผิว ไม่ต้องผ่านการย่อยและการดูดซึมของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมักมีข้อจำกัดด้านการดูดซึมวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซีที่ถูกกรดในกระเพาะทำลายได้บางส่วน การฉีดเข้าสู่ร่างกายโดยตรงจึงทำให้ได้รับ “ปริมาณเต็มที่” และ เริ่มออกฤทธิ์ภายในไม่กี่ชั่วโมง ขึ้นกับแต่ละบุคคล
การฉีดผิวช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การฉีดผิวเป็นวิธีการบำรุงผิวที่ให้สารอาหารจำเป็น เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ เข้าสู่ร่างกายโดยตรง ช่วยเสริมสุขภาพผิวจากภายในสู่ภายนอก การฉีดผิวช่วยเรื่องหลัก ๆ ต่อไปนี้
1.การฉีดผิวช่วยฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส เรียบเนียน สุขภาพดีจากภายใน
การฉีดผิวคือการผลักวิตามินเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งวิตามินที่เข้าสู่ร่างกายโดยตรงจะช่วยบำรุงลึกถึงระดับเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ ลดความหมองคล้ำและอาการโทรม ทั้งยังช่วยเสริมการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด ส่งผลให้ผิวดูมีชีวิตชีวา
2.การฉีดผิวแก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน หยาบกระด้างจากมลภาวะ
สารบำรุงในสูตรฉีดผิวบางชนิดจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ฟื้นฟูผิวที่แห้งเสียจากการเผชิญมลภาวะและแสงแดด ลดอาการลอก ตึง หยาบกร้าน ให้กลับมานุ่มนวลขึ้นอีกครั้ง
3.การฉีดผิวช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผิวอิ่มฟู ดูชุ่มน้ำ
วิตามินซีและกรดอะมิโนบางชนิดที่ใช้ในการฉีดผิวมีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญในชั้นผิว ทำให้ผิวแน่น ยืดหยุ่น และมีความชุ่มชื้น
4.การฉีดผิวช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูสว่างขึ้น
วิตามินบางกลุ่ม เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และกลูต้าไธโอน (ขึ้นอยู่กับสูตรที่ใช้) มีบทบาทในการช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เซลล์ผิวเก่าหลุดออกเร็วขึ้น เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่าเดิม
5.การฉีดผิวช่วยเสริมความแข็งแรงของผิว เปิดรับการบำรุงได้ดีขึ้น
เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นและแข็งแรงจากภายใน จะสามารถดูดซึมสารบำรุงจากภายนอกได้ดียิ่งขึ้น เช่น มอยเจอร์ไรเซอร์หรือไวเทนนิ่งครีม ทำให้การดูแลผิวในชีวิตประจำวันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โปรแกรมฉีดผิวกี่ครั้งเห็นผล อันตรายหรือไม่ ข้อดีข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
โปรแกรมฉีดผิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลข้อดีของการฉีดผิว
การฉีดผิวไม่ใช่เพียงแค่การบำรุงเพื่อความสวยแค่ภายนอกเท่านั้น แต่การฉีดผิวเป็นการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพผิวภายใน โดยมีข้อดีหลากหลายที่เกิดจากการส่งสารอาหารสำคัญเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ดังนี้
1.ข้อดีของการฉีดผิวช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้ผิว
สารอาหารที่นิยมใช้ในการฉีดผิว เช่น วิตามินซี และกรดอะมิโนบางชนิด มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของชั้นผิว ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น แน่นกระชับ และดูอิ่มน้ำ ลดโอกาสเกิดริ้วรอยก่อนวัย
2.ข้อดีของการฉีดผิวช่วยลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส
วิตามินบางกลุ่ม เช่น กลูต้าไธโอน หรือกรดแอสคอร์บิก มีส่วนช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้ผิวคล้ำหรือไม่สม่ำเสมอ การลดการทำงานของเมลานินจึงส่งผลให้ผิวดูสดใสขึ้น
3.ข้อดีของการฉีดผิวช่วยเสริมสร้างการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
การฉีดผิวหรือการฉีดวิตามินเข้าไปในร่างกาย ช่วยเสริมระบบการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เช่น วิตามินซี กลูต้าไธโอน และซิงค์ ซึ่งช่วยลดการทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงแดด มลภาวะ หรือความเครียด ทำให้ผิวดูสดใสขึ้นและเสื่อมสภาพช้าลง
4.ข้อดีของการฉีดผิวช่วย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการหวัดและภูมิแพ้
วิตามินซี วิตามินบีรวม และสารบางชนิดในสูตรฉีดผิว มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายต้านเชื้อโรคได้ดีขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้เรื้อรังหรือเป็นหวัดบ่อย
5.ข้อดีของการฉีดผิวช่วยให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง ร่างกายสดชื่น ลดอาการอ่อนเพลีย
วิตามินบีและกลุ่มสารบำรุงผิวต่าง ๆ จะช่วยฟื้นฟูพลังงานระดับเซลล์ ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ลดอาการเหนื่อยล้า และผิวหน้าจะดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ทั้งยังช่วยให้หลับสบายขึ้นในบางราย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพผิว
6.ข้อดีของการฉีดผิวช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว
ผิวที่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมจะมีความแข็งแรงมากขึ้น มีเกราะป้องกันที่สมบูรณ์ สามารถทนต่อมลภาวะ แสงแดด หรือสารระคายเคืองได้ดีกว่าเดิม ลดโอกาสการอักเสบ แพ้ หรือระคายเคือง และช่วยให้ผิวดูมีสุขภาพในระยะยาว
ข้อควรระวังในการฉีดผิว
แม้ว่าการฉีดผิวจะเป็นวิธีดูแลผิวที่ได้รับความนิยมและโดยทั่วไปถือว่าไม่เป็นอันตราย แต่ก็ยังมีข้อควรระวังที่เราควรรู้ก่อนที่จะเข้ารับบริการฉีดผิว เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
1.ควรฉีดผิวโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
การฉีดผิวโดยให้สารเข้าสู่ร่างกายควรดำเนินการโดยแพทย์ผู้มีใบประกอบวิชาชีพ หรืออยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการอบรม เพราะต้องอาศัยความชำนาญทั้งในเรื่องของการเลือกสูตรวิตามิน ปริมาณที่ใช้ และเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม
2.เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานในการฉีดผิว
ควรเข้ารับบริการในคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ใช้ตัวยาที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมีมาตรฐานความสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือผลข้างเคียงจากตัวยาที่ไม่ได้คุณภาพ
3.แจ้งโรคประจำตัวและประวัติการแพ้ก่อนฉีดผิว
ในบางรายที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง รวมถึงประวัติการแพ้ยา อาหารเสริม หรือสารบางชนิด เพื่อให้แพทย์ประเมินความเหมาะสมและปรับสูตรวิตามินให้ไม่เป็นอันตราย
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ในการฉีดผิว
โดยทั่วไป การฉีดผิวจะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหากทำโดยแพทย์ แต่ยังคงมีบางอาการที่อาจพบได้บ้าง เช่น
• รอยเข็มหรือรอยช้ำเล็กน้อย
หลังฉีดผิวอาจสังเกตเห็นรอยเข็มจุดเล็ก ๆ หรือรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด โดยเฉพาะหากเส้นเลือดใต้ผิวหนังแตกหรือมีผิวบาง ซึ่งเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติและจะจางหายไปเองภายในไม่กี่วัน
• อาการระคายเคืองเล็กน้อย (ในบางราย)
หลังฉีดผิวอาจรู้สึกตึง ๆ หรือคันเล็กน้อยหลังฉีด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายต่อสารที่ฉีดผิวเข้าไป แต่หากอาการไม่รุนแรงและหายไปภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
• ภาวะแพ้ (พบน้อยมาก)
แม้อัตราการแพ้วิตามินจะค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะเมื่อใช้สูตรที่ไม่เป็นอันตราย แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นแดง หน้ามืด หรือหายใจติดขัด ควรแจ้งแพทย์ทันที

โปรแกรมฉีดผิวกี่ครั้งเห็นผล อันตรายหรือไม่ ข้อดีข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
โปรแกรมฉีดผิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลใครเหมาะกับการฉีดผิวบ้าง
การฉีดผิว หรือการดริปวิตามินผิว เป็นวิธีดูแลสุขภาพผิวที่สามารถทำได้กับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงทั่วไป และมีความต้องการฟื้นฟูหรือบำรุงผิวอย่างล้ำลึก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมหรือปัญหาผิวบางประการ การฉีดผิวสามารถเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเสริมการดูแลผิวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กลุ่มคนที่เหมาะกับการฉีดผิว ได้แก่
1.ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์
โดยทั่วไป การฉีดผิวสามารถทำได้ในผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงวัยที่ระบบร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การลดลงของคอลลาเจน และการตอบสนองต่อมลภาวะมากขึ้น การบำรุงเพิ่มเติมจึงสามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างเหมาะสม
2.ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือมีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ
เช่น ผู้ที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะสูง การฉีดผิวช่วยเติมสารอาหารให้กับร่างกายได้โดยตรง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิธีดูแลสุขภาพผิวที่สะดวก
3.ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว
ในกรณีที่ผิวอ่อนล้า หมองคล้ำ หรือเสื่อมสภาพจากแสงแดด ความเครียด หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การนอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ การฉีดผิวสามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้กลับมามีชีวิตชีวาได้เร็วขึ้น
4.ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน หรือขาดความชุ่มชื้น
ผู้ที่รู้สึกว่าผิวขาดความสดใส หรือมีผิวแห้งจนเครื่องสำอางไม่ติด อาจได้รับประโยชน์จากการฉีดผิวที่มีสารบำรุงช่วยเติมน้ำให้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และลดการสูญเสียน้ำในชั้นผิว
5.ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือเป็นหวัดบ่อย
การฉีดผิว บางสูตร เช่น สูตรที่มีวิตามินซีหรือวิตามินบีรวม อาจช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายทำงานได้สมดุลมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียง่าย หรือเจ็บป่วยจากการติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย
6.ผู้ที่ต้องการทางเลือกเสริมจากการดูแลภายนอก
แม้การทาครีมบำรุงจะช่วยให้ผิวดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่การฉีดผิวจะช่วยบำรุงจากภายใน ทำให้ผิวมีความแข็งแรงอย่างเป็นระบบ และอาจช่วยให้การดูแลภายนอกมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย
ใครควรระวังในการฉีดผิว
แม้ว่าการฉีดผิวจะเป็นวิธีดูแลสุขภาพผิวที่ได้รับความนิยมและโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่ก็มีบางกลุ่มที่ควรระมัดระวัง หรือหลีกเลี่ยงการเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกาย โดยเฉพาะหากมีภาวะสุขภาพบางอย่างที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
กลุ่มผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดผิว
1.ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนแปลงมาก การรับสารอาหารเข้มข้นบางชนิดอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หรือผ่านทางน้ำนมได้ แม้จะยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงโดยตรง แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับการฉีดผิว
2.ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท
• ผู้ที่มีภาวะสุขภาพซับซ้อน เช่น
• ความดันโลหิตสูง
• โรคหัวใจ
• โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด
• โรคตับ
• เบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนเข้ารับบริการฉีดผิวเสมอ เนื่องจากตัวยา หรือปริมาณวิตามินบางชนิดอาจส่งผลต่อสมดุลของระบบในร่างกายได้
3.ผู้ที่มีภาวะธาตุเหล็กเกินในร่างกาย
วิตามินซีสามารถเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้มากขึ้น ผู้ที่มีภาวะธาตุเหล็กสูงเกินไปอยู่แล้ว (Hemochromatosis) อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการสะสมธาตุเหล็ก จึงไม่ควรรับวิตามินของการฉีดผิวในปริมาณเข้มข้นโดยไม่จำเป็น
4.ผู้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ หรือโรคมะเร็ง
โรคบางประเภท เช่น โรคของไขกระดูก โรคมะเร็ง หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบเม็ดเลือด อาจมีข้อจำกัดในการรับสารกระตุ้นบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย การฉีดผิวควรอยู่ภายใต้การพิจารณาของแพทย์เท่านั้น
5.ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase Deficiency)
ภาวะนี้ทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะและแตกง่าย ผู้ที่มีภาวะนี้อาจเกิดอาการแทรกซ้อนหากได้รับสารบางชนิดในวิตามินสูตรฉีดผิว เช่น วิตามินซีในปริมาณสูงหรือสารอนุพันธ์อื่น ๆ
6.ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยา หรือแพ้วิตามินชนิดฉีดผิว
หากเคยมีอาการแพ้ เช่น ผื่นลมพิษ แน่นหน้าอก หรือหายใจไม่สะดวกจากการฉีดยาหรือวิตามินในอดีต ควรแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาทันที เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกสูตรและวิธีการฉีดผิว

โปรแกรมฉีดผิวกี่ครั้งเห็นผล อันตรายหรือไม่ ข้อดีข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
โปรแกรมฉีดผิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลฉีดผิวอันตรายหรือไม่
การฉีดผิวถือว่าไม่อันตราย หากดำเนินการโดยแพทย์ในคลินิกที่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
เหตุผลที่การฉีดผิว “ไม่อันตราย” เมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
1.ตัวยาที่ใช้ในการฉีดมักเป็นวิตามินหรือสารอาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติ
เช่น วิตามินซี วิตามินบี กลูต้าไธโอน หรือแร่ธาตุบางชนิด ซึ่งร่างกายสามารถพบได้จากอาหารทั่วไป เพียงแต่นำมาในรูปแบบที่เข้มข้นขึ้นเพื่อการดูดซึมที่เร็วขึ้น
2.การประเมินร่างกายและการเลือกสูตรที่เหมาะสมในการฉีดผิว จะทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าสารที่ใช้มีความปลอดภัยต่อผู้รับบริการ และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
3.อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ผ่านการฆ่าเชื้อและได้มาตรฐานทางการแพทย์ ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากกระบวนการฉีด
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากฉีดผิวในสถานที่หรือกับบุคคลที่ไม่ได้มาตรฐาน
แม้ว่าตัวยาจะดูไม่เป็นอันตราย แต่การฉีดผิวอาจเป็นอันตรายได้ หากไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง เช่น
• การฉีดกับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ เช่น บุคคลทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ ซึ่งไม่สามารถประเมินความเหมาะสมของตัวยา ปริมาณ หรือความเร็วในการฉีดผิวได้อย่างถูกต้อง
• การฉีดในสถานที่ที่ไม่สะอาด หรือไม่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น คลินิกเถื่อน หรือการฉีดตามบ้าน อาจนำไปสู่ความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ หรือเกิดฟองอากาศอุดตันเส้นเลือด
การใช้วิตามินหรือสารที่ไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ซึ่งอาจเป็นของปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้เกิดอาการแพ้รุนแรง หรือภาวะแทรกซ้อนหลังฉีดผิว
ควรเริ่มฉีดผิวตั้งแต่อายุเท่าไหร่
โดยทั่วไป การฉีดผิวสามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์ โดยเฉพาะระบบการสร้างคอลลาเจน ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ และการซ่อมแซมผิวที่เริ่มช้าลงจากวัยรุ่น
ทำไมอายุ 20 ปีขึ้นไปจึงเหมาะสมกับการฉีดผิว
1.ระบบการเผาผลาญและระบบภูมิคุ้มกันเริ่มเปลี่ยนแปลง
แม้ผิวช่วงวัยนี้จะยังดูแข็งแรงจากภายนอก แต่กระบวนการป้องกันความเสื่อมของผิวตามธรรมชาติก็เริ่มช้าลง การบำรุงผิวด้วยวิตามินจากภายในจึงช่วยเสริมการฟื้นฟู และชะลอการเสื่อมของผิวได้ตั้งแต่ต้น
2.เป็นวัยที่เริ่มมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อผิวมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการนอนดึก ทำงานหนัก เผชิญแสงแดด มลภาวะ การแต่งหน้า หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีสะสม การฉีดผิวในช่วงอายุนี้จึงเปรียบเสมือนการ “วางรากฐานผิวให้แข็งแรง” เพื่อรองรับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อผิวในระยะยาว
3.ร่างกายตอบสนองต่อการบำรุงได้ดี
ช่วงอายุ 20-30 ปี เป็นวัยที่ระบบดูดซึมและตอบสนองของร่างกายยังมีประสิทธิภาพดีมาก การบำรุงด้วยวิตามินจะเห็นผลเร็ว และช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาผิวในอนาคต
อายุเกิน 30 ปีขึ้นไปยังสามารถฉีดผิวได้หรือไม่ ?
แน่นอนว่า สามารถฉีดผิวได้ และในหลายกรณียัง เหมาะสมเป็นพิเศษ เพราะเมื่ออายุเพิ่มขึ้น การผลิตคอลลาเจนจะค่อย ๆ ลดลง ผิวจะเริ่มแห้ง ขาดความยืดหยุ่น หมองคล้ำง่าย และฟื้นตัวช้ากว่าเดิม การฉีดวิตามินผิวในวัยนี้จะช่วยเสริมการซ่อมแซม และชะลอการเสื่อมของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเตรียมตัวก่อนการฉีดผิว
การฉีดผิวเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยทั้งความปลอดภัยและความเหมาะสมเฉพาะบุคคล ดังนั้น การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผิวได้อย่างดีที่สุด โดยมีข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดผิวดังนี้
1.ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นอย่างรอบด้าน
ก่อนตัดสินใจฉีดผิว ควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น
• วิธีการฉีดผิวในรูปแบบต่าง ๆ
• วัตถุประสงค์ของการฉีดแต่ละสูตร
• ผลลัพธ์ที่สามารถคาดหวังได้อย่างเหมาะสม
รวมถึงความเสี่ยงหรือข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และไม่คาดหวังเกินจริง
2.เลือกคลินิกและแพทย์ที่ได้มาตรฐาน
ควรเลือกสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้บริการโดยตรง ตัวยาที่ใช้ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมมีบรรจุภัณฑ์ชัดเจน มีฉลากระบุแหล่งที่มา วันหมดอายุ และชื่อสารสำคัญอย่างถูกต้อง
การสังเกต “ยาแท้” เบื้องต้นควรดูจากบรรจุภัณฑ์ที่สมบูรณ์ ปิดสนิท และแพทย์เปิดให้ดูต่อหน้า เพื่อความสบายใจและความโปร่งใสของการเข้ารับบริการฉีดผิว
3.แจ้งโรคประจำตัวหรือประวัติแพ้ยาให้แพทย์ทราบ
หากคุณมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ หรือเคยมีประวัติแพ้ยา วิตามิน หรือสารสกัดใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินความเหมาะสมของสูตรที่ใช้ และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
4.ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาผิวอย่างละเอียด
ก่อนการฉีดผิว ควรมีการปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวโดยรวม เช่น
• ผิวแห้ง ขาดน้ำ
• ผิวหมองคล้ำ
• ผิวไวต่อแสง หรือมีประวัติแพ้ง่าย
การปรับสูตรวิตามินให้ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคลจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่ออาการระคายเคืองหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา
การดูแลตัวเองหลังการฉีดผิว
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดนวดบริเวณที่ฉีดผิว ภายใน 24 ชั่วโมง
• งดออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก ในวันแรกหลังฉีดผิว
• ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้วิตามินกระจายตัวและดูดซึมได้ดีขึ้น
• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และการสูบบุหรี่ เพราะอาจรบกวนการดูดซึมของสารบำรุง
• งดการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหรือแต่งหน้าหนัก บริเวณที่ฉีดผิวในช่วง 12-24 ชั่วโมงแรก
• พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวและใช้วิตามินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงหรือคันผิดปกติ ควรรีบติดต่อคลินิกหรือแพทย์ทันที
ฉีดผิวกี่ครั้งถึงเห็นผล
การฉีดผิวให้เห็นผลนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิวของแต่ละคน สูตรวิตามินที่ใช้ และการตอบสนองของร่างกาย โดยทั่วไป
• ผู้รับบริการฉีดผิวบางรายอาจเริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก เช่น ผิวดูชุ่มชื้นขึ้น สดใสขึ้นในระยะสั้น
• อย่างไรก็ตาม หากต้องการ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เช่น ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ หรือเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว แนะนำให้ฉีดผิวอย่างต่อเนื่อง เดือนละ 2-3 ครั้ง
การฉีดผิวเป็นประจำในช่วงแรก เช่น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3-5 ครั้ง จะช่วยให้ผิวสะสมสารอาหารที่จำเป็นได้อย่างเพียงพอ และหลังจากนั้นสามารถเว้นระยะห่างเป็น เดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์ไว้ในระยะยาว

โปรแกรมฉีดผิวกี่ครั้งเห็นผล อันตรายหรือไม่ ข้อดีข้อควรระวังมีอะไรบ้าง
โปรแกรมฉีดผิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลฉีดผิวกับดริปผิว ต่างกันอย่างไร
แม้ทั้ง การฉีดผิว และ การดริปผิว จะมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือการส่งสารบำรุงเข้าสู่ร่างกายเพื่อฟื้นฟูและดูแลสุขภาพผิวจากภายใน แต่ในทางการแพทย์ ทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันในด้านกระบวนการ เทคนิค และความเหมาะสมของตัวยา ดังนี้
1.การดริปผิว (IV Drip / IV Infusion)
เป็นการ เจือจางตัวยาบำรุงด้วยสารน้ำ (เช่น น้ำเกลือ) ก่อนค่อย ๆ ปล่อยเข้าสู่ร่างกายผ่านทางหลอดเลือดดำ
ลักษณะคล้ายกับการให้น้ำเกลือในโรงพยาบาล ใช้เวลาในการทำประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำและสูตรยา
เหมาะสำหรับสูตรที่มีความเข้มข้นสูง หรือมีปริมาณตัวยามาก หากฉีดเข้าร่างกายโดยตรงอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงได้
ให้การดูดซึมอย่างต่อเนื่อง เหมาะกับผู้ที่ต้องการการบำรุงอย่างเต็มที่และช้า ๆ เพื่อความปลอดภัย
2.การฉีดผิว (IV Push / IV Bolus)
เป็นการ ฉีดตัวยาเข้าสู่หลอดเลือดโดยตรงในปริมาณที่พอเหมาะ โดยไม่ต้องเจือจางกับน้ำเกลือ
ใช้เวลาไม่นาน มักใช้เวลาฉีดเพียงไม่กี่นาที (ประมาณ 5-10 นาที)
เหมาะสำหรับสูตรที่ไม่เข้มข้นมาก และปลอดภัยต่อร่างกายแม้จะได้รับเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว
สะดวก เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวแต่มีเวลาจำกัด
ฉีดผิวแล้วสามารถดื่มแอลกอฮอลล์ได้หรือไม่
ตามหลักทางการแพทย์ ไม่มีข้อห้ามโดยตรง ว่าหลังการฉีดผิวแล้วจะต้อง “งดแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิง” อย่างไรก็ตาม แพทย์มักจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังการฉีดผิว เพื่อให้ร่างกายดูดซึมและใช้ประโยชน์จากวิตามินที่ได้รับได้อย่างเต็มที่
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีดผิว
1.แอลกอฮอล์กระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals)
เมื่อร่างกายมีระดับแอลกอฮอล์สูง จะเกิดกระบวนการที่ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในปริมาณมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เซลล์เสื่อมเร็ว ผิวหมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยก่อนวัย
2.ลดประสิทธิภาพของวิตามินที่ฉีดเข้าไป
วิตามินที่ฉีดผิว เช่น วิตามินซี กลูต้าไธโอน หรือสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ จะทำงานได้ดีที่สุดในสภาพร่างกายที่สมดุล หากดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ร่างกายจะเร่งขับสารเหล่านี้ออกเพื่อจัดการกับแอลกอฮอล์แทน ทำให้ประสิทธิภาพของการบำรุงผิวลดลง
3.อาจเพิ่มภาระให้ตับ
การฉีดผิวบางชนิด เช่น กลูต้าไธโอน จะทำงานร่วมกับตับในการกำจัดสารพิษ หากมีแอลกอฮอล์ในระบบ ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับสารพิษจากแอลกอฮอล์ อาจทำให้การขับวิตามินหรือการเผาผลาญสารบำรุงในร่างกายทำได้ไม่เต็มที่
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดผิว
การฉีดผิวเป็นหัตถการที่เติมวิตามินให้ผิวแบบเข้มข้น แต่ต้องทำโดยแพทย์และคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว และนอกจากจะดูแลตัวเองด้วยการฉีดผิว เพื่อให้ร่างกายดูสดใสขึ้น ต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลตัวเองในมิติอื่นๆด้วย อาทิเช่น การดื่มน้ำให้เพียงพอ การพักผ่อนอย่างเต็มที่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้เรามีสุขภาพดีผิวพรรณผ่องใสได้ในระยะยาว
Q And A ยอดฮิตของการฉีดผิว
Q1 ฉีดผิวแล้วจะขาวจริงไหม ?
A การฉีดผิวไม่ใช่การเปลี่ยนสีผิวโดยตรง แต่ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียน และสุขภาพดีขึ้นจากภายใน โดยช่วยลดความหมองคล้ำ ฟื้นฟูผิวจากมลภาวะ และเร่งการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับสภาพผิว พฤติกรรม และการดูแลตัวเองร่วมด้วย
Q2 ต้องฉีดผิวบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล ?
A โดยทั่วไปควรฉีดต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 ครั้งในช่วงแรก เพื่อให้ร่างกายสะสมวิตามินในระดับที่เพียงพอ จากนั้นสามารถฉีดเดือนละ 2-3 ครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ ทั้งนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ที่ประเมินจากสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Q3 การฉีดผิวมีผลข้างเคียงหรือไม่ ?
A โดยทั่วไป การฉีดผิวไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง หากทำโดยแพทย์ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และใช้ตัวยาที่ไม่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการเล็กน้อยในบางราย เช่น รอยเข็มชั่วคราว หรือรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักหายได้เองภายใน 1-2 วัน สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถปรับสูตรหรือหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ไม่เหมาะสม
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ