10 วิธีลบรอยแผลเป็นให้หายเร็ว รักษาอย่างไรดีให้ผิวเรียบเนียน
ลบรอยแผลเป็น
10 วิธีลบรอยแผลเป็นแบบเห็นผล พร้อมเคล็ดลับที่ทำให้ผิวเรียบเนียน
การลบรอยแผลเป็น เป็นการลดรอยต่าง ๆ ที่อยู่บนใบหน้า และลำตัว มีได้หลากหลายวิธีในการรักษา เราจะมาแนะนำ 10 วิธีลบรอยแผลเป็นแบบเห็นผล เพื่อเผยผิวกระจ่างใสแบบมั่นใจได้อีกครั้ง
รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการลบรอยแผลเป็น
- รอยแผลเป็นเกิดจากอะไร
- การลบรอยแผลเป็นคืออะไร
- รอยแผลเป็นมีกี่แบบอะไรบ้าง
- วิธีที่ 1 ลบรอยแผลเป็นด้วยการทาครีม
- วิธีที่ 2 ลบรอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์
- วิธีที่ 3 ลบรอยแผลเป็นด้วยการฉายรังสี
- วิธีที่ 4 ลบรอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์
- วิธีที่ 5 ลบรอยแผลเป็นด้วยการผลัดผิวด้วยเครื่อง M.D.
- วิธีที่ 6 ลบรอยแผลเป็นด้วยไอพีแอล
- วิธีที่ 7 ลบรอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
- วิธีที่ 8 ลบรอยแผลเป็นด้วยการลอกผิว
- วิธีที่ 9 ลบรอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัดแผลเป็น
- วิธีที่ 10 ลบรอยแผลเป็นด้วยการสักทับรอยแผลเป็น
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการลบรอยแผลเป็น
- คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการลบรอยแผลเป็น
รอยแผลเป็นเกิดจากอะไร
ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการลบรอยแผลเป็น เราต้องรู้ก่อนว่า แผลเป็นคืออะไร มีกี่ประเภท และเกิดขึ้นได้อย่างไร
รอยแผลเป็น (Scar) เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังหลังได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด สิว หรือการอักเสบอื่น ๆ ร่างกายจะสร้าง “คอลลาเจน” ใหม่ขึ้นมาเพื่อเชื่อมและปิดบาดแผล กระบวนการนี้ทำให้ผิวบริเวณที่หายแล้วมีลักษณะแตกต่างจากผิวเดิม ทั้งในด้านสีผิว ความนูน หรือพื้นผิวที่ไม่เรียบเสมอกัน
รอยแผลเป็น คือผลลัพธ์จากกระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติ เมื่อผิวหนังได้รับการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะจากสิว การผ่าตัด อุบัติเหตุ หรือแม้แต่การอักเสบเล็กน้อย ร่างกายจะรีบซ่อมแซมตัวเองด้วยการสร้าง “คอลลาเจน” ขึ้นมาใหม่เพื่อปิดบาดแผล แต่เนื้อเยื่อใหม่นี้มักแตกต่างจากผิวหนังปกติ จึงทำให้เกิดเป็นรอยที่เรามองเห็นและสัมผัสได้
กลไกการเกิดรอยแผลเป็น
กระบวนการเกิดรอยแผลเป็นสามารถอธิบายได้เป็นลำดับ ดังนี้
1.ช่วงอักเสบ (Inflammatory phase)
หลังจากเกิดบาดแผล ร่างกายจะเร่งหยุดเลือดและดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันเข้ามาเพื่อลดการติดเชื้อ
2.ช่วงซ่อมแซม (Proliferation phase)
ร่างกายสร้างเส้นเลือดใหม่และเส้นใยคอลลาเจนขึ้นเพื่อสมานเนื้อเยื่อ
3.ช่วงปรับสภาพแผล (Remodeling phase)
คอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นจะถูกจัดเรียงตัวใหม่ แต่โครงสร้างที่ได้จะไม่เหมือนผิวเดิมทั้งหมด จึงเกิดเป็นรอยแผลเป็นที่อาจดูนูน สีต่างออกไป หรือมีลักษณะบุ๋มลง
การลบรอยแผลเป็นคืออะไร
การลบรอยแผลเป็น คือกระบวนการหรือวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อลดความเด่นชัดของรอยแผลเป็น ไม่ว่าจะเป็นรอยนูน รอยบุ๋ม หรือรอยที่มีสีแตกต่างจากผิวรอบ ๆ จุดประสงค์หลักคือทำให้รอยแผลเป็นดูเรียบเนียนขึ้นและกลมกลืนกับผิวโดยรอบมากที่สุด ไม่ได้หมายถึง “การลบออกจนหายไปทั้งหมด” แต่เป็นการช่วยปรับสภาพผิวให้ดูดีขึ้น
ทำไมจึงเกิดความแตกต่างของรอยแผลเป็นแต่ะชนิด
เวลาผิวหนังบาดเจ็บ ร่างกายจะเร่งสร้าง “คอลลาเจน” เพื่อซ่อมแซมผิว เนื้อเยื่อใหม่นี้มักไม่เหมือนผิวเดิมทั้งหมด ทำให้เกิดรอยที่เห็นเป็นแผลเป็น ลักษณะของรอยจะแตกต่างกันไป เช่น
• แผลนูนแข็ง (Hypertrophic scar, คีลอยด์)
• แผลบุ๋มหรือเป็นหลุม (Atrophic scar)
• รอยสีเข้มหรือจางกว่าผิว (Pigmented scar)
การลบรอยแผลเป็นทำด้วยวิธีไหนได้บ้าง
การดูแลหรือการลบรอยแผลเป็นมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับ ชนิดของรอยแผลเป็น ความรุนแรง และตำแหน่งของผิว ซึ่งโดยทั่วไปอาจใช้วิธีดังนี้
• การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเฉพาะจุดในการลบรอยแผลเป็น เช่น เจลหรือแผ่นซิลิโคนเจลที่ช่วยให้รอยแผลเป็นนุ่มและจางลง
• เทคนิคทางการแพทย์ผิวหนังในการลบรอยแผลเป็น เช่น เลเซอร์ ฉีดยาลดแผลนูน หรือการผลัดเซลล์ผิว (ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรใช้วิธีใด)
• การดูแลผิวควบคู่ไปกับการลบรอยแผลเป็น เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันรอยแผลเป็นคล้ำชัดขึ้น
รอยแผลเป็นมีกี่แบบอะไรบ้าง
รอยแผลเป็น (Scar) เกิดขึ้นหลังผิวหนังได้รับบาดเจ็บ ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองด้วยการสร้าง “คอลลาเจน” ขึ้นมาใหม่ แต่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นนั้นไม่ได้เรียงตัวเหมือนผิวปกติ ทำให้เกิดร่องรอยที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งรอยแผลเป็นก็มีหลายชนิด แต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะและความรุนแรงที่ต่างกัน
1.แผลเป็นทั่วไป (Simple Scar)
เป็นรอยแผลเป็นชนิดที่ไม่รุนแรง ส่วนมากเกิดจากการอักเสบของแผลตื้น ๆ ในช่วงแรกสีผิวอาจคล้ำหรือเข้มกว่าปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีจะค่อย ๆ จางลงและผิวกลับมาใกล้เคียงปกติ
2.แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar)
รอยแผลเป็นชนิดนี้มีลักษณะนูนแดง ยกตัวสูงกว่าผิวรอบ ๆ แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตของแผลเดิม ไม่ลุกลามออกไป เกิดจากร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในระหว่างซ่อมแซมแผล
3.รอยแตกลาย (Stretch Marks/Striae)
เกิดจากการยืดหรือหดตัวของผิวหนังอย่างรวดเร็ว เช่น การตั้งครรภ์ การโตขึ้นในช่วงวัยรุ่น หรือการเปลี่ยนน้ำหนักตัวแบบกะทันหัน ทำให้ชั้นผิวแท้ (Dermis) เสียหาย เกิดเป็นเส้น ๆ บนผิว มักพบที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพก
4.แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid)
เป็นแผลนูนที่มีลักษณะหนา แข็ง สีแดงหรือคล้ำ และลุกลามกว้างกว่าขอบเขตแผลเดิม เกิดจากการสร้างคอลลาเจนผิดปกติและมากเกินไป รอยชนิดนี้มักพบในผู้ที่มีพันธุกรรมเอื้อต่อการเกิดคีลอยด์
5.แผลเป็นหลุม (Atrophic Scar)
รอยแผลเป็นที่มีลักษณะบุ๋มหรือเป็นร่องลึก มักเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง หรือโรคอีสุกอีใส เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อไม่เพียงพอหลังการอักเสบ จึงทำให้ผิวขาดความเรียบเนียน
6.แผลเป็นหดรั้ง (Contracture Scar)
เป็นรอยแผลเป็นที่รุนแรง มักเกิดหลังจากการบาดเจ็บรุนแรง เช่น แผลไฟไหม้ แผลชนิดนี้จะทำให้ผิวหดตัวหรือดึงรั้งจนผิดรูป โดยเฉพาะบริเวณข้อต่อ อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอวัยวะได้
7.แผลเป็นจากการผ่าตัด (Surgical Scar)
เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเพื่อการรักษาโรคหรือเพื่อความงาม ลักษณะรอยอาจเป็นเส้นตรงหรือเส้นยาว ขึ้นอยู่กับวิธีการเย็บแผลและการดูแลหลังผ่าตัด
8.แผลเป็นจากอุบัติเหตุ (Accident Scar)
เป็นรอยที่เกิดจากการบาดเจ็บลึก เช่น การหกล้ม แผลฉีกขาด หรือถูกของมีคม เมื่อหายแล้วอาจเหลือรอยที่มีสีเข้มกว่าปกติหรือพื้นผิวไม่เรียบเสมอ
วิธีที่ 1 ลบรอยแผลเป็นด้วยการทาครีม
การใช้ครีมบำรุงผิวหรือครีมเฉพาะทาง เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้ในการลบรอยแผลเป็น เหมาะสำหรับรอยแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ หรือรอยแผลที่ยังไม่รุนแรงมาก การใช้ครีมในการลบรอยแผลเป็น คือช่วยให้ผิวได้รับความชุ่มชื้น และช่วยให้รอยดูเรียบเนียนขึ้นเมื่อใช้อย่างสม่ำเสมอ
ประเภทของครีมที่มักใช้ในการลบรอยแผลเป็น
1.ครีมที่มีส่วนผสมของซิลิโคน (Silicone-based products)
• ซิลิโคนสามารถสร้างแผ่นฟิล์มบาง ๆ เคลือบบริเวณผิว ช่วยลบรอยแผลเป็น
• ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูเรียบขึ้น
• มักใช้เพื่อดูแลรอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ เนื่องจากช่วยให้เนื้อเยื่อคอลลาเจนที่สร้างขึ้นมีความสมดุลมากขึ้น
2.ครีมที่มีวิตามินซี (Vitamin C) ในการลบรอยแผลเป็น
• วิตามินซีมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
• ช่วยเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิว และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
• ช่วยลบรอยแผลเป็น และทำให้ผิวดูสดใสขึ้นเมื่อใช้ต่อเนื่อง
3.ครีมที่มีกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)
• ทำหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
• เหมาะสำหรับลบรอยแผลเป็นที่แห้งตึง เพราะช่วยให้ผิวนุ่มและยืดหยุ่นมากขึ้น
• ส่งผลให้รอยแผลดูเรียบและน้อยลงตามการเปลี่ยนแปลงของผิว
4.ครีมที่มีกรดผลัดเซลล์ผิวอ่อน ๆ (เช่น กรดซาลิไซลิก หรือ กรดแลคติก)
• ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพออก
• กระตุ้นให้ผิวใหม่ที่เรียบเนียนขึ้นมาแทนที่
• เหมาะกับการดูลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวหรือตำหนิเล็ก ๆ บนผิว
สิ่งที่ควรรู้ในการใช้ครีมลบรอยแผลเป็น
• ครีมลบรอยแผลเป็นไม่สามารถทำให้รอยหายไปได้ทั้งหมด แต่ช่วยให้รอยดูจางลงและผิวของเราดูสม่ำเสมอขึ้น
• ผลลัพธ์ในการใช้ครีมลบรอยแผลเป็นขึ้นอยู่กับ ลักษณะของรอยแผลเป็น ความรุนแรง และระยะเวลาที่เกิดแผล
• ควรใช้ครีมลบรอยแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอ และควรปรึกษาแพทย์หากรอยแผลเป็นมีความรุนแรง
วิธีที่ 2 ลบรอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์
การลบรอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการลบรอยแผลเป็น โดยเฉพาะ NU Pico Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดปัญหาสีผิว รอยดำ รวมถึงรอยแผลเป็นต่าง ๆ
หลักการทำงานในการลบรอยแผลเป็นของ NU Pico Laser
• พลังงานแสงเลเซอร์ความถี่สูง NU Pico Laser ใช้ความยาวคลื่น 532 และ 1,064 นาโนเมตร พร้อมความถี่ระดับพิโควินาที (750 ps)
• Photo-Acoustic Effect เทคโนโลยีนี้ช่วยทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ โดยไม่สะสมความร้อนในผิว
• ลดความเสี่ยงการระคายเคือง พลังงานที่ส่งเข้าสู่ผิวจะกระจายอย่างแม่นยำ ไม่ทำลายผิวรอบข้าง
การลบรอยแผลเป็นด้วย NU Pico Laser
1.ช่วยลบรอยแผลเป็นให้จางลง
พลังงานเลเซอร์ทำให้เม็ดสีที่สะสมในรอยแผลเป็นแตกกระจายออก ผิวจึงดูเรียบเนียนและสม่ำเสมอมากขึ้น
2.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
แสงเลเซอร์กระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และมีโครงสร้างที่ดีขึ้น
3.ไม่ต้องพักฟื้นนาน
หลังการทำ NU Pico Laser มักไม่ทิ้งบาดแผลหรือรอยแดงรุนแรง ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
จุดเด่นของ NU Pico Laser ในการลบรอยแผลเป็น
• ลดเลือนรอยดำและรอยแผลเป็นให้ดูจางลง
• ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอมากขึ้น
• กระตุ้นการฟื้นฟูผิวจากภายใน
วิธีที่ 3 ลบรอยแผลเป็นด้วยการฉายรังสี
การลบรอยแผลเป็นด้วยการ ฉายรังสี (Radiation Therapy for Scars) เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลบรอยแผลเป็น ที่ใช้ในทางการแพทย์เพื่อช่วยดูแลรอยแผลเป็น โดยเฉพาะรอยแผลเป็นชนิดที่รักษายาก เช่น แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) หรือคีลอยด์ (Keloid) ซึ่งมักกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย วิธีลบรอยแผลเป็นด้วยการฉายรังสีนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้นเนื่องจากเป็นการใช้พลังงานรังสีในระดับที่ควบคุมแบบตรงจุด
หลักการทำงานของการฉายรังสีในการลบรอยแผลเป็น
• ยับยั้งการเจริญของคอลลาเจนที่มากเกินไป
การฉายรังสีในการลบรอยแผลเป็นช่วยลดการทำงานของเซลล์ที่สร้างคอลลาเจนในบริเวณแผล ทำให้แผลไม่ยกนูนหรือหนาเกินความจำเป็น
• ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ
การฉายรังสีช่วยลดอาการอักเสบที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างแผลเป็นซ้ำ
• ช่วยฟื้นฟูผิว
ผิวบริเวณที่ได้รับการฉายรังสีจะเข้าสู่การฟื้นตัวที่สมดุลมากขึ้น ทำให้รอยแผลเป็นค่อย ๆ ดูเรียบและจางลง
ข้อดีของการลบรอยแผลเป็นด้วยการฉายรังสี
• เหมาะสำหรับการลบรอยแผลเป็นที่มีความรุนแรง
• ช่วยลดโอกาสที่รอยแผลเป็นชนิดคีลอยด์จะกลับมาเป็นซ้ำ
• ทำให้ผิวดูเรียบขึ้นและลดการดึงรั้งของแผล
ข้อควรระวังในการลบรอยแผลเป็นด้วยการฉษยรังสี
• การฉายรังสี ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
• โดยทั่วไปมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่น เช่น การผ่าตัดนำคีลอยด์ออก แล้วตามด้วยการฉายรังสีเพื่อลดการกลับมาเป็นซ้ำ
• ไม่เหมาะกับคนที่อยากลบรอยแผลเป็นทุกคน แพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสมตามสภาพผิวและสุขภาพโดยรวม
วิธีที่ 4 ลบรอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์
วิธีที่ลบรอยแผลเป็นที่ใช้บ่อยในการดูแลรอยแผลเป็นประเภทบุ๋ม หรือร่องลึกจากสิว คือ การฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injection) ซึ่งเป็นสารเติมเต็มที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มปริมาตรให้กับผิว เมื่อฉีดเข้าไปบริเวณรอยแผลเป็น จะช่วยยกพื้นผิวให้เรียบเสมอกับผิวรอบข้าง ทำให้รอยดูตื้นขึ้นและสังเกตเห็นได้น้อยลง
หลักการทำงานของฟิลเลอร์กับการลบรอยแผลเป็น
เติมเต็มร่องลึก ฟิลเลอร์เข้าไปเสริมในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) เพื่อยกผิวส่วนที่บุ๋มขึ้นมา เป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการลบรอยแผลเป็น
ปรับผิวให้เรียบเนียน เมื่อร่องแผลเป็นถูกเติมเต็ม ผิวบริเวณนั้นจะดูสม่ำเสมอขึ้น
เสริมความชุ่มชื้น ฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ยังช่วยกักเก็บน้ำ ทำให้ผิวดูยืดหยุ่นและสดใส
ฟิลเลอร์เหมาะกับลบรอยแผลเป็นแบบไหนบ้าง
- ลบรอยแผลเป็นบุ๋มจากสิวอักเสบเรื้อรัง
- รอยบุ๋มจากอีสุกอีใส
- รอยแผลที่ทำให้ผิวขาดความเรียบเนียน
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์เพื่อลบรอยแผลเป็น
- เห็นผลทันที หลังฉีดฟิลเลอร์เพื่อลบรอยแผลเป็นจะเห็นว่ารอยบุ๋มดูตื้นขึ้น
- ฉีดฟิลเลอร์เพื่อลบรอยแผลเป็นไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ทำให้ผิวดูเรียบและสม่ำเสมอ
สิ่งที่ควรระวังในการลบรอยแผลเป็น
- ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ในการลบรอยแผลเป็นไม่ได้คงอยู่ตลอดไป มักอยู่ได้ตั้งแต่หลายเดือนจนถึง 1–2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ในการฉีดลบรอยแผลเป็น
- ควรทำโดยแพทย์ด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่ง เพื่อไม่ให้เป็นอันตราย และผลลัพธ์ที่สวย
- ไม่เหมาะสำหรับลบรอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ เพราะฟิลเลอร์ออกแบบมาเพื่อเติมเต็ม ไม่ใช่ลดการนูน
วิธีที่ 5 ลบรอยแผลเป็นด้วยการผลัดผิวด้วยเครื่อง M.D.
การลบรอยแผลเป็นด้วยการผลัดผิวด้วยเครื่อง M.D.หรือ Microdermabrasion (ไมโครเดอร์มาเบรชัน) เป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้สำหรับปรับสภาพผิวและช่วยลบรอยแผลเป็น โดยเฉพาะรอยแผลเป็นที่ไม่รุนแรง เช่น รอยสิวตื้น ๆ หรือรอยผิวไม่เรียบเล็กน้อย วิธีนี้เป็นการกรอผิวอย่างอ่อนโยนที่ทำเฉพาะชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) โดยไม่ทำให้เกิดบาดแผลลึก
หลักการทำงานของ Microdermabrasion ในการลบรอยแผลเป็น
• ใช้ ผลึกอัญมณีขนาดเล็กมาก (เช่น ผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ ประมาณ 100 ไมครอน) ฉีดไปบนผิวในระบบสุญญากาศ
• ผลึกเหล่านี้จะช่วยขัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหรือเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออก
• หลังจากผลัดเซลล์ผิวชั้นบนออกไป ร่างกายจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
จุดเด่นของการผลัดผิวด้วยเครื่อง M.D.ในการลบรอยแผลเป็น
• สามารถปรับระดับความลึกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและรอยแผลเป็นของแต่ละบุคคล
• ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น การผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกช่วยให้ผิวใหม่ดูเรียบเนียนและสดใสกว่าเดิม
• กระตุ้นการฟื้นฟูผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรงขึ้น
การผลัดผิวด้วยเครื่อง M.D.ในการลบรอยแผลเป็นเหมาะสำหรับ
• ผู้ที่มีรอยแผลเป็นจากสิวตื้น ๆ
• ผู้ที่มีผิวไม่สม่ำเสมอหรือดูหมองคล้ำ
• ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวโดยไม่ทำให้เกิดบาดแผลและไม่ต้องพักฟื้นนาน
ข้อควรระวังในการลบรอยแผลเป็นด้วยเครื่อง M.D
• ไม่เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นลึก รอยแผลเป็นหดรั้ง หรือคีลอยด์
• อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
• ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดหลังทำ และใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการระคายเคือง
วิธีที่ 6 ลบรอยแผลเป็นด้วยไอพีแอล
การลบรอยแผลเป็นด้วย IPL (Intense Pulsed Light) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แสงความเข้มข้นสูงในการดูแลปัญหาผิว รวมถึงรอยแผลเป็น โดยแสงที่ปล่อยออกมามีความยาวคลื่นตั้งแต่ประมาณ 420 – 1,200 นาโนเมตร ซึ่งสามารถซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูสภาพผิวในระดับลึก
หลักการทำงานของการลบรอยแผลเป็นด้วย IPL
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
พลังงานแสงจาก IPL ในการลบรอยแผลเป็นทำให้ผิวเกิดการกระตุ้นการฟื้นฟูตัวเอง ส่งผลให้โครงสร้างผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น
• ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
IPL ในการลบรอยแผลเป็นช่วยลดความผิดปกติของเม็ดสีในรอยแผลเป็น ทำให้รอยที่เคยเข้มหรือแดงดูจางลง
• ช่วยปรับสภาพพังผืด
IPL ในการลบรอยแผลเป็นจะส่งพลังงานที่ส่งผ่านลงไปช่วยให้เนื้อเยื่อที่เป็นพังผืดค่อย ๆ คลายตัว และจัดเรียงใหม่อย่างเป็นระเบียบมากขึ้น
ข้อดีของการลบรอยแผลเป็นด้วย IPL
• เหมาะกับรอยแผลเป็นที่มีสีผิดปกติ เช่น รอยแดงหรือรอยคล้ำ
• ช่วยให้ผิวโดยรวมดูสว่าง กระจ่างใสขึ้น
• การลบรอยแผลเป็นด้วย IPL เป็นวิธีที่ไม่ทำให้เกิดบาดแผลใหม่ จึงสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำ IPL ในการลบรอยแผลเป็น
• การลบรอยแผลเป็นด้วย IPL อาจต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
• ระหว่างการลบรอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์ IPL อาจรู้สึกอุ่น แสบร้อน หรือเจ็บเล็กน้อย เนื่องจาก IPL ใช้พลังงานแสงที่สะสมความร้อนในผิว
• การลบรอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์ IPL ไม่เหมาะกับทุกคน แพทย์จะต้องเป็นผู้ประเมินว่าสภาพผิวและรอยแผลเป็นเหมาะกับการใช้ IPL หรือไม่
วิธีที่ 7 ลบรอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
การลบรอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์ (Intra-lesional corticosteroid) เป็นวิธีที่ใช้เพื่อลดรอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ แพทย์จะฉีดตัวยาเข้าไปในก้อนแผลเป็นโดยตรง เพื่อยับยั้งการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไป ทำให้เนื้อเยื่อที่แข็งและหนาค่อย ๆ นิ่มลง พร้อมทั้งช่วยให้รอยแผลเป็นแบนราบและดูเรียบขึ้น
กระบวนการลบรอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์นี้มักต้องทำซ้ำเป็นระยะ โดยทั่วไปประมาณเดือนละครั้ง หรือจนกว่ารอยแผลเป็นจะตอบสนองดีขึ้น การฉีดลบรอยแผลเป็นควรทำโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อควบคุมปริมาณยาและความแม่นยำในการฉีดให้ตรงจุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงได้
วิธีที่ 8 ลบรอยแผลเป็นด้วยการลอกผิว
การลบรอยแผลเป็นด้วยการลอกผิวด้วยสารเคมี หรือ Chemical Peeling เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้เพื่อลบรอยแผลเป็นตื้น ๆ บนผิวชั้นหนังกำพร้า โดยทั่วไปจะใช้ กรดผลไม้ (AHA) ในความเข้มข้นที่เหมาะสม เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่สะสมอยู่ด้านบนให้หลุดลอกออกไป ทำให้ผิวใหม่ที่เรียบเนียนและสว่างใสขึ้นมาแทนที่
หลักการทำงานของการลบรอยแผลเป็นด้วยการลอกผิว
• กรดผลไม้ (AHA) จะทำหน้าที่สลายการยึดเกาะของเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
• เมื่อเซลล์เก่าหลุดออก จะกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ได้เร็วขึ้น
• ส่งผลให้รอยแผลเป็นตื้น ๆ ค่อย ๆ จางลง และผิวดูเรียบสม่ำเสมอมากขึ้น
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการลอกผิวเพื่อลบรอยแผลเป็น
• ทำสัปดาห์ละครั้งต่อเนื่องประมาณ 4 สัปดาห์ หรือขึ้นอยู่กับแพทย์
• ระดับความเข้มข้นของกรดที่ใช้ (เช่น 50–70%) ในการลบรอยแผลเป็นจะถูกปรับตามสภาพผิวและชนิดของรอยแผลเป็น
• หากใช้กรดในการลบรอยแผลเป็นเข้มข้นเกินไป อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง แห้งลอก หรือไวต่อแสงแดดมากขึ้น
วิธีที่ 9 ลบรอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัดแผลเป็น
การผ่าตัดเพื่อลบรอยแผลเป็น (Surgical Scar Revision) เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่มีขนาดใหญ่ หนา หดรั้ง หรือส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของผิวหนังและข้อต่อ โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดนำรอยแผลเป็นเก่าออก แล้วเย็บปิดแผลใหม่อย่างประณีต เพื่อลดความตึงและจัดแนวแผลให้เรียบเนียนมากขึ้นทำให้ลบรอยแผลเป็นได้
หลักการทำงานของการผ่าตัดเพื่อลบรอยแผลเป็น
• ตัดเอาเนื้อเยื่อแผลเป็นเดิมออก
• ปรับทิศทางหรือวิธีการเย็บแผลใหม่เพื่อให้แผลดูเรียบและเล็กลง
• บางกรณีอาจใช้ร่วมกับการฉีดยาสเตียรอยด์ เลเซอร์ หรือการฉายรังสี เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การผ่าตัดเพื่อลบรอยแผลเป็นเหมาะสำหรับ
• แผลเป็นขนาดใหญ่หรือนูนมาก
• แผลเป็นที่ดึงรั้งจนทำให้ผิวผิดรูปหรือเคลื่อนไหวไม่สะดวก
• ผู้ที่เคยลบรอยแผลเป็นด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
วิธีที่ 10 ลบรอยแผลเป็นด้วยการสักทับรอยแผลเป็น
การสักทับลบรอยแผลเป็น (Scar Tattooing หรือ Medical Tattooing) เป็นวิธีที่ไม่ได้ลบรอยแผลเป็นออกจริง ๆ แต่ใช้การสักสีลงบนผิวเพื่อ “พราง” รอยแผลเป็นให้กลมกลืนกับผิวรอบข้าง หรือบางรายอาจเลือกสักเป็นลวดลายศิลปะเพื่อปิดบังร่องรอยเดิม วิธีนี้จึงจัดเป็นการแก้ปัญหาด้านความสวยงามและความมั่นใจมากกว่าการรักษาทางการแพทย์โดยตรง
หลักการทำงานของการสักทับลบรอยแผลเป็น
- ใช้เม็ดสี (Pigment) สักลงไปในชั้นผิวตื้น ๆ
- เลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวจริง เพื่อกลบให้รอยแผลดูไม่ชัดเจน หรือออกแบบเป็นลายสักเพื่อเปลี่ยนจุดสนใจจากรอยแผลเป็น
การสักทับลบรอยแผลเป็นเหมาะสำหรับ
- รอยแผลเป็นที่คงอยู่ถาวรและไม่สามารถลบรอยแผลเป็นให้หายไปได้
- ผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจ โดยใช้การพรางรอยให้กลมกลืนกับผิว
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการสักทับลบรอยแผลเป็น
- การสักทับลบรอยแผลเป็นเป็นการปกปิด ไม่ใช่วิธีรักษาที่ทำให้แผลเป็นหายไป
- ควรสักทับลบรอยแผลเป็น กับผู้ที่มีความสามารถเฉพาะทางด้านการสักทางการแพทย์หรือผู้มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและได้สีที่ใกล้เคียงผิวจริง
- แผลเป็นบางชนิด เช่น คีลอยด์ อาจไม่เหมาะกับวิธีนี้ เพราะผิวมีโอกาสเกิดการระคายเคืองหรือเปลี่ยนแปลงได้
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการลบรอยแผลเป็น
การลบรอยแผลเป็นมีหลายวิธี ตั้งแต่การทาครีม ผลัดเซลล์ผิว การฉีดยา เลเซอร์ ไปจนถึงการผ่าตัดหรือการสักทับ แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือการเลือกแนวทางที่ เหมาะสมกับชนิดของรอยแผลเป็นและสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็ฯอันตรายต่อร่างกายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยทั่วไป การทำเลเซอร์ลบรอยแผลเป็นมักเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน เหมาะสำหรับทั้งการลดเลือนรอยดำ รอยสิว และปรับพื้นผิวให้เรียบเนียนขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับวิธีเดียวกันในการลบรอยแผลเป็น การประเมินโดยแพทย์จึงมีความสำคัญมาก เพราะช่วยเลือกวิธีที่ตอบโจทย์และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดในการเลือกวิธีลบรอยแผลเป็น
คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการลบรอยแผลเป็น
Q การลบรอยแผลเป็น สามารถทำให้รอยแผลเป็นหายได้หมดหรือไม่ ?
A รอยแผลเป็นมักไม่หายไปทั้งหมด แต่สามารถจางลงได้มาก การรักษา เช่น เลเซอร์ ครีม หรือฟิลเลอร์ ช่วยให้รอยดูเรียบและกลมกลืนขึ้น
Q หากแผลเป็นปวดหรืออักเสบควรทำอย่างไร ?
A ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือติดเชื้อ การรักษาเร็วช่วยลดความรุนแรงได้
Q แผลเป็นใหม่กับแผลเป็นเก่า รักษาต่างกันไหม?
A แผลเป็นใหม่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่า ส่วนแผลเก่าอาจต้องใช้วิธีที่เข้มข้นขึ้น เช่น เลเซอร์หรือฉีดยาในการลบรอยแผลเป็น
Q การทาครีมลบรอยแผลเป็นได้ผลจริงหรือไม่ ?
A ได้ผลในแผลเป็นตื้นหรือนูนเล็กน้อย แต่ควรใช้ต่อเนื่องและเลือกครีมที่เหมาะกับผิว หากแผลรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาวิธีอื่นร่วมด้วย
Q ทำไมบางคนเป็นคีลอยด์ง่ายกว่าคนอื่น ?
A พันธุกรรมมีส่วนสำคัญ บางคนมีแนวโน้มสร้างคอลลาเจนเกิน ทำให้เกิดคีลอยด์ง่าย โดยเฉพาะแผลบริเวณหน้าอก หลัง และไหล่
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ