มอยเจอร์ไรเซอร์ มีกี่ประเภท ควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว
มอยเจอร์ไรเซอร์
มอยเจอร์ไรเซอร์คืออะไร ช่วยอะไรบ้าง วิธีเลือกให้เหมาะกับผิว
การดูแลผิวให้สวยใสและดูสุขภาพดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้สกินแคร์ที่ซับซ้อนหรือราคาแพงเสมอไป แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจคือการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งมอยเจอร์ไรเซอร์ถือเป็นตัวช่วยหลักที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะมีผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวแพ้ง่าย การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์อย่างเหมาะสมจะช่วยปรับสมดุลของน้ำและน้ำมันในผิว เสริมเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะ และลดโอกาสการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่ามอยเจอร์ไรเซอร์คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และเคล็ดลับในการเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน เพื่อให้คุณดูแลผิวได้อย่างถูกวิธีและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
มอยเจอร์ไรเซอร์คืออะไร
มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) คือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีหน้าที่หลักในการเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำและช่วยรักษาสมดุลของผิวให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวดูเนียนนุ่ม สุขภาพดี และลดปัญหาผิวแห้ง ลอก หรือระคายเคืองได้
คุณสมบัติหลักของมอยเจอร์ไรเซอร์
• มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว มีส่วนผสมที่ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิว เช่น ไฮยาลูรอนิก แอซิด กลีเซอรีน ให้ผิวอิ่มน้ำ
• มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำ มีส่วนประกอบที่เคลือบผิวเพื่อลดการระเหยของน้ำ เช่น เซราไมด์ หรือซิลิโคน
• มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ลดการระคายเคืองและการอักเสบ
• มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น ทำให้ผิวสัมผัสเรียบลื่นและดูสุขภาพดีขึ้น
ส่วนผสมหลักในมอยเจอร์ไรเซอร์
ส่วนผสมหลักในมอยเจอร์ไรเซอร์ สามารถแบ่งได้ตามกลไกการให้ความชุ่มชื้นและการปกป้องผิว ซึ่งแต่ละประเภทมีบทบาทแตกต่างกัน ดังนี้
1.ฮิวเมคแทนท์ (Humectants)
สารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติดึงความชื้นจากอากาศหรือจากชั้นลึกของผิวเข้ามาเก็บไว้ที่ผิวชั้นบน ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและไม่แห้งกร้าน
ตัวอย่างส่วนผสมสำคัญในมอยเจอร์ไรเซอร์
• Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิก แอซิด) กักเก็บน้ำได้มากกว่าหลายเท่าของน้ำหนักตัว
• Glycerin (กลีเซอรีน) ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น และลดการระคายเคือง
• Panthenol (โปรวิตามิน B5) เพิ่มความยืดหยุ่นและช่วยฟื้นฟูผิว
• Sodium PCA เก็บความชื้นตามธรรมชาติของผิว
2.อีมัลเลียนท์ (Emollients)
ช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิว ลดความหยาบกร้าน ทำให้ผิวรู้สึกเนียนนุ่มและเรียบลื่น
ตัวอย่างส่วนผสมสำคัญในมอยเจอร์ไรเซอร์
• Ceramides (เซราไมด์) ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และป้องกันการสูญเสียน้ำ
• Fatty Acids (กรดไขมันจำเป็น เช่น Omega-3, Omega-6) ช่วยคงสมดุลความชุ่มชื้น
• Shea Butter (เชีย บัตเตอร์) เพิ่มความนุ่ม ช่วยให้ผิวเรียบเนียน
• Squalane (สควาเลน) น้ำมันเลียนแบบน้ำมันธรรมชาติในผิว ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่หนักผิว
3.โอคูลซิฟ (Occlusives)
ทำหน้าที่เคลือบผิวเพื่อลดการระเหยของน้ำ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เหมาะกับผิวแห้งมาก
ตัวอย่างส่วนผสมสำคัญในมอยเจอร์ไรเซอร์
• Petrolatum (ปิโตรเลียมเจลลี่) สร้างชั้นฟิล์มกักเก็บความชื้นได้ดี
• Dimethicone (ไดเมทิโคน) ซิลิโคนที่ให้ผิวเรียบลื่นและลดการสูญเสียน้ำ
• Beeswax (ขี้ผึ้ง) เคลือบผิวและให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ
• Mineral Oil (มิเนอรัล ออยล์) ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว
4.สารสกัดบำรุงผิวเสริม
เพิ่มคุณสมบัติพิเศษ นอกเหนือจากการให้ความชุ่มชื้น เช่น ลดการอักเสบหรือเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ
ตัวอย่างส่วนผสมสำคัญในมอยเจอร์ไรเซอร์
• Niacinamide (วิตามิน B3) ลดรอยแดง กระชับรูขุมขน และเสริมเกราะป้องกันผิว
• Vitamin E ต้านอนุมูลอิสระ ลดการทำลายผิวจากมลภาวะ
• Aloe Vera (ว่านหางจระเข้) ลดการระคายเคืองและให้ความเย็นสบาย
• Green Tea Extract (สารสกัดชาเขียว) ต้านการอักเสบและช่วยให้ผิวแข็งแรง
5.สารปรับเนื้อผลิตภัณฑ์และกันเสีย
เพื่อให้มอยเจอร์ไรเซอร์คงสภาพดีและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง
• สารกันเสีย เช่น Phenoxyethanol เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
• สารเพิ่มความข้น เช่น Carbomer เพื่อคงเนื้อครีม
สรุปมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีมักผสมผสาน Humectants, Emollients และ Occlusives เพื่อให้ความชุ่มชื้นครบทั้งการดึงน้ำเข้าสู่ผิว เติมเต็มผิวให้เรียบลื่น และกักเก็บน้ำไม่ให้ระเหยออก ทั้งนี้ การเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ควรพิจารณาส่วนผสมหลักให้เหมาะกับสภาพผิว เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการดูแลผิว
มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยอะไรบ้าง
มอยเจอร์ไรเซอร์มีบทบาทสำคัญในการดูแลผิว ทั้งในแง่การเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และป้องกันปัญหาผิวหลากหลายด้าน ดังนี้
1.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว
มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยดึงน้ำเข้าผิวด้วยสารกลุ่ม ฮิวเมคแทนท์ (Humectants) เช่น ไฮยาลูรอนิก แอซิด และกลีเซอรีน พร้อมทั้งมีส่วนผสมในกลุ่ม โอคูลซิฟ (Occlusives) อย่างปิโตรเลียมเจลลี่หรือไดเมทิโคน ที่เคลือบผิวเพื่อลดการระเหยของน้ำ ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน ไม่แห้งกร้าน
2.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
เกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงช่วยป้องกันมลภาวะและเชื้อโรคเข้าสู่ผิว ส่วนผสมเช่น เซราไมด์ (Ceramides) และกรดไขมันจำเป็น ช่วยซ่อมแซมชั้นผิว ลดการสูญเสียน้ำ และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เหมาะกับผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ผ่านการระคายเคือง
3.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยลดปัญหาผิวแห้ง ลอก และระคายเคือง
ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือเป็นผื่นคันจากสภาพอากาศหรือการล้างหน้าบ่อย มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยคืนความสมดุล ลดการลอกเป็นขุย ลดอาการตึงผิว และบรรเทาการคันหรือแสบแดงได้
4.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
เมื่อผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ ความยืดหยุ่นของผิวจะดีขึ้น ริ้วรอยเล็ก ๆ จะดูตื้นลง นอกจากนี้ มอยเจอร์ไรเซอร์บางชนิดมีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน E หรือ ไนอะซินาไมด์ (Vitamin B3) ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
5.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยทำให้ผิวนุ่มเรียบและแต่งหน้าติดทน
การทามอยเจอร์ไรเซอร์ก่อนแต่งหน้าช่วยให้ผิวเรียบเนียน รองพื้นเกลี่ยง่าย ไม่เป็นคราบ และเครื่องสำอางติดทนยาวนานตลอดวัน
6.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยปรับสมดุลน้ำมันบนผิว
แม้ผิวมันก็ต้องการความชุ่มชื้น มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เนื้อบางเบา เช่น แบบเจลหรือโลชั่น ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันให้สมดุล ลดความมันส่วนเกินและโอกาสเกิดสิว
7.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยบรรเทาผิวหลังทำหัตถการหรือระคายเคือง
หลังทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ที่ทำให้ผิวบอบบาง มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมลดการอักเสบ เช่น ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) หรือ แพนทีนอล (Panthenol) ช่วยลดรอยแดงและเร่งการฟื้นฟูผิว
มอยเจอร์ไรเซอร์มีกี่ประเภท
มอยเจอร์ไรเซอร์สามารถจำแนกออกเป็นหลายประเภทตาม รูปแบบของเนื้อผลิตภัณฑ์ และ หลักการทำงานของส่วนผสม ซึ่งแต่ละประเภทตอบโจทย์สภาพผิวและปัญหาที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.มอยเจอร์ไรเซอร์ตามเนื้อสัมผัสผลิตภัณฑ์
1.1 มอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทครีม (Cream)
• ลักษณะ มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเข้มข้นและมีน้ำมันสูง
• เหมาะสำหรับ ผิวแห้งถึงแห้งมาก หรือผิวที่ต้องการฟื้นฟูเกราะป้องกัน
• คุณสมบัติเด่น ให้ความชุ่มชื้นล้ำลึกและกักเก็บน้ำในผิวได้ยาวนาน
1.2 มอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทโลชั่น (Lotion)
• ลักษณะ มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบากว่าครีม ผสมน้ำและน้ำมันในสัดส่วนพอเหมาะ
• เหมาะสำหรับ ผิวธรรมดา-ผิวมัน หรือใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย
• คุณสมบัติเด่น ซึมง่าย ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่หนักผิว
1.3 มอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทเจล (Gel)
• ลักษณะ มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อใสและปราศจากน้ำมัน หรือมีน้ำมันน้อย
• เหมาะสำหรับ ผิวมัน ผิวเป็นสิว หรือผิวที่อยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้น
• คุณสมบัติเด่น ซึมซาบเร็ว ไม่เหนอะหนะ ช่วยลดความมันส่วนเกิน
1.4 มอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทออยล์ (Oil)
• ลักษณะ มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เป็นน้ำมันบริสุทธิ์หรือผสมสารสกัดจากพืช
• เหมาะสำหรับ ผิวแห้งมาก ผิวผู้สูงอายุ หรือผิวที่ต้องการฟื้นฟูพิเศษ
• คุณสมบัติเด่น เคลือบผิวเพื่อลดการระเหยของน้ำ และช่วยให้ผิวนุ่มลื่น
1.5 มอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทบาล์ม (Balm)
• ลักษณะ มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อหนาแน่น ไม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ
• เหมาะสำหรับ ผิวแห้งลอก หรือบริเวณที่ต้องการปกป้องเป็นพิเศษ เช่น ข้อศอก ส้นเท้า
• คุณสมบัติเด่น สร้างเกราะป้องกันผิวอย่างเข้มข้น ป้องกันการสูญเสียน้ำ
2.มอยเจอร์ไรเซอร์ตามหลักการทำงานของส่วนผสม
2.1 ฮิวเมคแทนท์ (Humectants)
• หน้าที่ ดึงน้ำเข้าสู่ผิวและกักเก็บไว้ เช่น ไฮยาลูรอนิก แอซิด, กลีเซอรีน
• เหมาะสำหรับ ทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวขาดน้ำ
2.2 อีมัลเลียนท์ (Emollients)
• หน้าที่ เติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิว ทำให้ผิวนุ่มและเรียบเนียน
• ส่วนผสมสำคัญ เซราไมด์, สควาเลน, เชียบัตเตอร์
• เหมาะสำหรับ ผิวแห้งหรือผิวขาดความยืดหยุ่น
2.3 โอคูลซิฟ (Occlusives)
• หน้าที่ สร้างชั้นเคลือบผิวเพื่อลดการระเหยของน้ำ
• ส่วนผสมสำคัญ ปิโตรเลียมเจลลี่, ไดเมทิโคน, ขี้ผึ้ง
• เหมาะสำหรับ ผิวแห้งมาก หรือผิวที่ต้องการกักเก็บความชุ่มชื้นยาวนาน
3.มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับปัญหาผิว
• มอยเจอร์ไรเซอร์ต้านริ้วรอย ผสมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C, เรตินอล
• มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิว สูตรปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
• มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวแพ้ง่าย ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารระคายเคือง
วิธีเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว
การเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะแต่ละสภาพผิวมีความต้องการการบำรุงแตกต่างกัน หากเลือกไม่ถูกต้องอาจทำให้ผิวเกิดปัญหา เช่น สิวอุดตัน แห้งลอก หรือแพ้ง่ายได้ คำแนะนำการเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะตามสภาพผิวแต่ละประเภท มีดังนี้
1.มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับผิวแห้ง
ลักษณะผิว
• ผิวตึง ลอกเป็นขุย มักรู้สึกแห้งตลอดวัน
• ขาดน้ำมันธรรมชาติ จึงสูญเสียน้ำได้ง่าย
วิธีเลือก
• เนื้อสัมผัส ครีมหรือบาล์มที่มีความเข้มข้น
• ส่วนผสมแนะนำ
- เซราไมด์ เชียบัตเตอร์ สควาเลน เพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด และ กลีเซอรีน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
• หลีกเลี่ยง ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์แรง ๆ หรือมีน้ำหอมสูง
2.มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับผิวมันหรือผิวเป็นสิว
ลักษณะผิว
• มีความมันเงา รูขุมขนกว้าง เป็นสิวง่าย
วิธีเลือก
• เนื้อสัมผัส เจล (Gel) หรือโลชั่น (Lotion) สูตร Oil-free และ Non-comedogenic (ไม่ก่อการอุดตัน)
• ส่วนผสมแนะนำ
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ช่วยเติมน้ำโดยไม่เพิ่มความมัน
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยควบคุมความมันและลดการอักเสบของสิว
• หลีกเลี่ยง เนื้อครีมหรือบาล์มที่มีน้ำมันเข้มข้น และสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน
3.มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับผิวผสม
ลักษณะผิว
• โซน T (หน้าผาก จมูก คาง) มัน แต่แก้มแห้ง
วิธีเลือก
• เนื้อสัมผัส โลชั่น (Lotion) หรือครีมเนื้อบางเบา ที่ให้ความชุ่มชื้นพอดี
• ส่วนผสมแนะนำ
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด เติมความชุ่มชื้นเฉพาะส่วนที่แห้ง
- เซราไมด์ รักษาสมดุลเกราะป้องกันผิว
• ทริกพิเศษ สามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ 2 แบบ คือ เนื้อเจลบริเวณ T-zone และเนื้อครีมในส่วนที่แห้ง
4.มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
ลักษณะผิว
• ระคายเคืองง่าย แดง คัน หรือมีผื่นเมื่อสัมผัสสารกระตุ้น
วิธีเลือก
• เนื้อสัมผัส ครีมหรือโลชั่นสูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์
• ส่วนผสมแนะนำ
- แพนทีนอล (Panthenol) และ ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) ลดการอักเสบและปลอบประโลมผิว
- เซราไมด์ เสริมเกราะป้องกันผิว
• หลีกเลี่ยง น้ำหอม แอลกอฮอล์ สีสังเคราะห์ และกรดผลไม้เข้มข้น
5.มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับผิวเริ่มมีริ้วรอย
ลักษณะผิว
• ความยืดหยุ่นลดลง เริ่มมีริ้วรอย ความแห้งกร้าน
วิธีเลือก
• เนื้อสัมผัส ครีมเข้มข้นที่ให้ความชุ่มชื้นล้ำลึก
• ส่วนผสมแนะนำ
- เรตินอล (Retinol), เปปไทด์ (Peptides) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- วิตามิน E, สารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันริ้วรอย
- กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acids) เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
เคล็ดลับทั่วไปในการเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์
• ดูฉลาก Non-comedogenic เพื่อป้องกันการอุดตันรูขุมขน โดยเฉพาะสำหรับผิวมันหรือผิวเป็นสิว
• ทดสอบการแพ้ก่อนใช้ทั่วใบหน้า ลองทาบริเวณหลังหูหรือท้องแขน 24-48 ชม.
• พิจารณาสภาพอากาศ โดยอากาศร้อนชื้นใช้สูตรเจลหรือโลชั่น ส่วนอากาศเย็นหรือแห้งควรใช้ครีมหรือบาล์มที่เข้มข้น
คนผิวมันใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ได้ไหม
คนผิวมันสามารถและควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ เพราะการละเลยการบำรุงความชุ่มชื้นอาจยิ่งกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้นจนเกิดสิวหรือความมันส่วนเกินได้ การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมจะช่วยปรับสมดุลผิว ลดปัญหาความมันและสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมคนผิวมันถึงต้องใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
• มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมัน
เมื่อผิวขาดน้ำ ร่างกายจะส่งสัญญาณให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชย ทำให้ผิวมันยิ่งกว่าเดิม การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเติมน้ำให้ผิว ลดความจำเป็นที่ผิวต้องผลิตน้ำมันส่วนเกิน
• มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยป้องกันการระคายเคืองและผิวเป็นสิวง่าย
แม้ผิวมันจะมีน้ำมัน แต่ผิวชั้นในอาจขาดน้ำ การบำรุงช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบและระคายเคือง
• มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดปัญหาสิว
มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมช่วยคงสมดุลค่า pH ของผิว ลดความเสี่ยงรูขุมขนอุดตัน และทำให้การรักษาสิวมีประสิทธิภาพดีขึ้น
• มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า
การบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นจะทำให้รองพื้นหรือแป้งติดทน เรียบเนียน และไม่เป็นคราบ
วิธีเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับคนผิวมัน
• เลือกสูตร Oil-free และ Non-comedogenic เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
• เนื้อสัมผัสบางเบา เช่น เจล (Gel) หรือ โลชั่น (Lotion) ซึมซาบเร็ว ไม่เหนอะหนะ
• ส่วนผสมแนะนำ
- Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิก แอซิด) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นโดยไม่เพิ่มความมัน
- Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) ควบคุมความมันและลดการอักเสบ
- Panthenol (แพนทีนอล) ช่วยปลอบประโลมผิว
• หลีกเลี่ยง มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำมันเข้มข้น (เช่น Mineral Oil) หรือมีส่วนผสมของซิลิโคนหนัก ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการอุดตัน
คนเป็นสิวใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ได้ไหม
คนเป็นสิวสามารถและควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ เพราะแม้จะมีสิว ผิวก็ยังต้องการความชุ่มชื้นเพื่อรักษาสมดุล หากปล่อยให้ผิวแห้งเกินไป ต่อมไขมันจะยิ่งผลิตน้ำมันเพิ่ม ส่งผลให้รูขุมขนอุดตันและสิวเห่อหนักกว่าเดิม การเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมจะช่วยให้สิวลดลงและผิวแข็งแรงขึ้น
เหตุผลที่คนเป็นสิวควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
• รักษาสมดุลน้ำและน้ำมันบนผิว
การใช้ยารักษาสิวหรือการล้างหน้าบ่อย ๆ มักทำให้ผิวสูญเสียน้ำ เมื่อผิวขาดน้ำ ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันมากขึ้นเพื่อชดเชย ซึ่งอาจกระตุ้นให้สิวเกิดเพิ่ม การทามอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเติมน้ำให้ผิวและลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน
• ลดการระคายเคืองจากการรักษาสิว
ยาลดสิวที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือเรตินอยด์ (Retinoids) อาจทำให้ผิวแห้ง ลอก แสบแดง มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยปลอบประโลม ลดอาการคัน ตึง และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น
• เสริมเกราะป้องกันผิว
เมื่อเกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น ผิวจะทนต่อมลภาวะและเชื้อแบคทีเรียได้ดี ลดโอกาสการอักเสบและการเกิดสิวใหม่
• ช่วยให้การแต่งหน้าหรือการใช้ครีมกันแดดเรียบเนียน
มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยปรับผิวให้นุ่มลื่น รองพื้นและกันแดดเกลี่ยง่าย ไม่เป็นคราบ ซึ่งสำคัญต่อการปกป้องผิวจากแสงแดดโดยไม่กระตุ้นสิวเพิ่ม
วิธีเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับคนเป็นสิว
• เลือกสูตร Oil-free และ Non-comedogenic ปราศจากน้ำมันที่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
• เนื้อบางเบา ซึมเร็ว แนะนำสูตรเจลหรือโลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่เหนอะหนะ
• ส่วนผสมแนะนำ
- Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิก แอซิด) เพิ่มความชุ่มชื้นโดยไม่เพิ่มความมัน
- Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) ลดการอักเสบ ควบคุมความมัน และช่วยให้รอยสิวดูจางลง
- Panthenol (แพนทีนอล) ปลอบประโลมและฟื้นฟูผิว
- Aloe Vera (ว่านหางจระเข้) ลดรอยแดงและระคายเคือง
• ควรหลีกเลี่ยง
- ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์รุนแรง น้ำหอม หรือซิลิโคนหนัก ๆ
- ครีมหรือบาล์มที่มีน้ำมันเข้มข้น เช่น Mineral Oil บางสูตร
ปัญหาผิวที่เหมาะกับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคนทุกสภาพผิว แต่จะเห็นผลชัดเจนที่สุดเมื่อใช้กับผิวที่มีปัญหาต่าง ๆ เพราะส่วนผสมในมอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และปรับสมดุลน้ำมันในผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาผิวต่อไปนี้ถือว่าเหมาะอย่างยิ่งกับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
1.ผิวแห้ง ขาดน้ำ
• ลักษณะปัญหา ผิวลอกเป็นขุย รู้สึกตึงหรือคัน แห้งกร้านเมื่อสัมผัส
• เหตุผลที่ควรใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเติมน้ำและสร้างชั้นฟิล์มกักเก็บความชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว
• ส่วนผสมแนะนำ ไฮยาลูรอนิก แอซิด, เซราไมด์, เชียบัตเตอร์
2.ผิวมันหรือผิวขาดน้ำจากการผลิตน้ำมันเกิน
• ลักษณะปัญหา ผิวมันเงาแต่ชั้นผิวลึกขาดน้ำ ทำให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น
• เหตุผลที่ควรใช้ การเติมน้ำให้ผิวช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมัน ลดความมันส่วนเกินและลดสิว
• ส่วนผสมแนะนำ เจลมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีไฮยาลูรอนิก แอซิด, ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Moisturizer ผิวมัน แพ้ง่าย และผิวขาดน้ำ เลือกแบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิว
3.ผิวแพ้ง่าย ระคายเคือง
• ลักษณะปัญหา แดง คัน เป็นผื่นง่าย หรือระคายเคืองจากสภาพอากาศ/มลภาวะ
• เหตุผลที่ควรใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) และลดการอักเสบ
• ส่วนผสมแนะนำ เซราไมด์, แพนทีนอล (Panthenol), ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)
• เคล็ดลับ เลือกสูตรปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารกันเสียรุนแรง
4.ผิวเป็นสิว
• ลักษณะปัญหา มีสิวอักเสบ สิวอุดตัน หรือกำลังใช้ยารักษาสิว
• เหตุผลที่ควรใช้ ยาลดสิวมักทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยลดการลอกและคงความสมดุลผิว
• ส่วนผสมแนะนำ ไฮยาลูรอนิก แอซิด, ไนอะซินาไมด์, แพนทีนอล
• เคล็ดลับ เลือกสูตร Oil-free และ Non-comedogenic เพื่อลดการอุดตัน
5.ผิวที่เริ่มมีริ้วรอยหรือสูญเสียความยืดหยุ่น
• ลักษณะปัญหา มีเส้นริ้วรอยเล็ก ๆ หรือผิวดูหย่อนคล้อย
• เหตุผลที่ควรใช้ การเติมความชุ่มชื้นทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น และช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของผิว
• ส่วนผสมแนะนำ วิตามิน E, เรตินอล (Retinol), เปปไทด์ (Peptides), สารต้านอนุมูลอิสระ
6.ผิวที่ผ่านการทำหัตถการหรือถูกทำร้าย
• ลักษณะปัญหา หลังทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือผิวไหม้แดด
• เหตุผลที่ควรใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยปลอบประโลม บรรเทาอาการแดง และฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรง
• ส่วนผสมแนะนำ แพนทีนอล, ว่านหางจระเข้, เซราไมด์
7.ผิวที่เผชิญมลภาวะหรือแสงแดดเป็นประจำ
• ลักษณะปัญหา หมองคล้ำ แห้งเสียจากการสัมผัสแดด ลม หรือมลพิษ
• เหตุผลที่ควรใช้ ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ และเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ
• ส่วนผสมแนะนำ วิตามิน C, วิตามิน E, สารสกัดชาเขียว
วิธีใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้ได้ประสิทธิภาพ
การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่การเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลำดับการทา ปริมาณ และเทคนิคการใช้ด้วย เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นและสารบำรุงอย่างเต็มที่ ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
1.เตรียมผิวให้สะอาดก่อนทามอยเจอร์ไรเซอร์
• ล้างหน้าให้สะอาดด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน เพื่อขจัดสิ่งสกปรก ความมัน และคราบเครื่องสำอาง
• ซับผิวให้หมาด ไม่ควรเช็ดจนแห้งสนิท ควรเหลือความชื้นเล็กน้อยบนผิว เพราะมอยเจอร์ไรเซอร์จะกักเก็บน้ำได้ดีขึ้นเมื่อผิวยังมีความชื้น
2.ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ในลำดับที่ถูกต้อง
• ในรูทีนสกินแคร์ตอนเช้า-เย็น ให้ทามอยเจอร์ไรเซอร์หลังจากใช้โทนเนอร์ เซรั่ม หรือเอสเซนส์
• หากต้องใช้ครีมกันแดด ให้ทามอยเจอร์ไรเซอร์ก่อนกันแดดเสมอ
• ในเวลากลางคืน ให้ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นขั้นตอนปิดท้าย เพื่อกักเก็บสารบำรุงทั้งหมด
3.ปริมาณมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสม
• โดยทั่วไปใช้ประมาณ ขนาดเมล็ดถั่วเขียวถึงเมล็ดถั่วลิสง สำหรับผิวหน้า
• สำหรับผิวกาย สามารถเพิ่มปริมาณตามพื้นที่ แต่ควรทาให้ทั่วถึงโดยไม่หนาจนเกินไป
4.เทคนิคการทามอยเจอร์ไรเซอร์
• อุ่นครีมเล็กน้อยระหว่างฝ่ามือ ก่อนทา เพื่อให้ซึมซาบง่ายขึ้น
• ทาเบา ๆ และเกลี่ยจากด้านในออกด้านนอก หรือใช้การกดเบา ๆ (Patting) เพื่อให้มอยเจอร์ไรเซอร์ซึมลงผิวโดยไม่ระคายเคือง
• หลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดริ้วรอย
5.ความถี่ในการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
• เช้าและก่อนนอนทุกวัน คือความถี่ที่แนะนำ
• ในสภาพอากาศแห้ง หรือเมื่ออยู่ในห้องปรับอากาศ ควรทาซ้ำหรือใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบาเพิ่มระหว่างวันถ้าผิวแห้งตึง
6.เลือกสูตรมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว
• ผิวมัน/เป็นสิว ใช้เจลหรือโลชั่นสูตร Oil-free และ Non-comedogenic
• ผิวแห้ง เลือกครีมหรือบาล์มเข้มข้น
• ผิวแพ้ง่าย ควรใช้สูตรปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ พร้อมส่วนผสมที่ปลอบประโลมผิว เช่น แพนทีนอลหรือว่านหางจระเข้
7.เคล็ดลับเสริมประสิทธิภาพมอยเจอร์ไรเซอร์
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเติมความชุ่มชื้นจากภายใน
• ใช้ครีมกันแดดทุกเช้า เพื่อปกป้องผิวไม่ให้สูญเสียน้ำจากรังสี UV
• เลือกคลีนเซอร์ที่ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว เพื่อให้มอยเจอร์ไรเซอร์ทำงานได้เต็มที่
มอยเจอร์ไรเซอร์เหมาะกับใครบ้าง
มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เรียกได้ว่า เหมาะกับทุกคน ไม่จำกัดเพศ วัย หรือสภาพผิว เพราะผิวทุกประเภทล้วนต้องการความชุ่มชื้นเพื่อคงสมดุลและปกป้องเกราะผิว แต่ระดับความจำเป็นและชนิดของมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เลือกใช้อาจแตกต่างกันไปตามลักษณะผิวและปัญหาผิว ดังนี้
1.คนผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำ
• ลักษณะผิว ลอกเป็นขุย รู้สึกตึง แห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น
• เหตุผลที่เหมาะ มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเพิ่มและกักเก็บน้ำในผิว ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว ลดการระคายเคือง
• แนะนำ สูตรครีมหรือบาล์มเข้มข้นที่มี เซราไมด์ (Ceramides), เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) หรือ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid)
2.คนผิวมันหรือผิวผสม
• ลักษณะผิว ผลิตน้ำมันมาก หน้ามันง่าย อาจมีสิว
• เหตุผลที่เหมาะ แม้ผิวมันก็สามารถขาดน้ำได้ การบำรุงช่วยปรับสมดุล ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินและลดสิว
• แนะนำ สูตรเจลหรือโลชั่น Oil-free และ Non-comedogenic ส่วนผสม เช่น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide), ไฮยาลูรอนิก แอซิด
3.คนที่มีปัญหาสิว
• ลักษณะผิว เป็นสิวอักเสบ สิวอุดตัน หรือใช้ยาลดสิว
• เหตุผลที่เหมาะ ยารักษาสิวมักทำให้ผิวแห้งและลอกง่าย มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยลดการระคายเคือง ฟื้นฟูเกราะผิว และลดการอักเสบ
• แนะนำ สูตรบางเบา Oil-free, ส่วนผสม Panthenol, Aloe Vera, Hyaluronic Acid
4.คนผิวแพ้ง่ายหรือระคายเคืองง่าย
• ลักษณะผิว แดง คัน ลอกง่ายจากมลภาวะหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบางชนิด
• เหตุผลที่เหมาะ ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ และเพิ่มความทนทานต่อมลภาวะ
• แนะนำ สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ มี เซราไมด์, แพนทีนอล, ว่านหางจระเข้
5.ผู้สูงอายุหรือผู้มีปัญหาริ้วรอย
• ลักษณะผิว สูญเสียความยืดหยุ่น มีริ้วรอย ผิวแห้งตามวัย
• เหตุผลที่เหมาะ มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเติมความชุ่มชื้น ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น และป้องกันการเสื่อมสภาพของผิว
• แนะนำ สูตรครีมเข้มข้น พร้อม วิตามิน E, เรตินอล (Retinol), เปปไทด์ (Peptides)
6.ผู้ที่ทำงานหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษ
• ผู้ที่อยู่ห้องแอร์บ่อย ๆ มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากอากาศแห้ง
• ผู้ที่ออกแดดหรือเจอมลภาวะ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายและเสริมเกราะผิว
• ผู้ที่เพิ่งทำหัตถการผิว (เลเซอร์/ทรีตเมนต์) ลดการอักเสบและเร่งฟื้นฟูผิว
7.ทุกเพศทุกวัยที่ต้องการผิวสุขภาพดี
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ทุกคนควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวแข็งแรงในระยะยาว
ข้อควรระวังในการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผิว แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีหรือเลือกผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ ดังนั้นควรใส่ใจ ข้อควรระวังในการใช้ ดังต่อไปนี้
1.เลือกสูตรมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว
• ผิวมันหรือเป็นสิว ควรเลือก สูตร Oil-free และ Non-comedogenic เพื่อลดโอกาสรูขุมขนอุดตัน
• ผิวแห้ง เลือกสูตรครีมหรือบาล์มที่ให้ความชุ่มชื้นสูง
• ผิวแพ้ง่าย ควรใช้สูตรปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารกันเสียรุนแรง
หากเลือกผิด อาจทำให้ผิวอุดตัน เกิดสิว หรือระคายเคืองมากขึ้น
2.ทดสอบการแพ้ก่อนใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
• ก่อนใช้ทั่วใบหน้า ควรทาที่บริเวณท้องแขน หลังหู หรือข้อมือ 24-48 ชั่วโมง เพื่อตรวจดูว่ามีอาการแพ้ เช่น แดง คัน ผื่นขึ้น หรือไม่
• หากเกิดอาการระคายเคือง ควรหยุดใช้ทันที
3.ไม่ทามอยเจอร์ไรเซอร์มากเกินไป
• การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ในปริมาณที่มากเกินจำเป็นอาจทำให้ผิวเหนอะหนะ อุดตันรูขุมขน และเป็นสิวง่าย
• ปริมาณที่เหมาะสมคือประมาณ เมล็ดถั่วเขียวถึงเมล็ดถั่วลิสง สำหรับผิวหน้า
4.รักษาความสะอาดของมือและผิวก่อนทา
• ล้างมือและล้างหน้าให้สะอาด ก่อนทาเสมอ เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิว
• หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ร่วมกับผู้อื่นเพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย
5.หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับสารออกฤทธิ์แรงในเวลาเดียวกัน
• หากใช้ยารักษาสิวหรือกรดผลไม้ (AHA/BHA/Retinoid) ควรเว้นระยะให้ยาซึมก่อนแล้วค่อยทามอยเจอร์ไรเซอร์
• เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่อ่อนโยนเพื่อลดการระคายเคืองจากการใช้สารเหล่านี้
6.ระวังส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการแพ้
• บางคนอาจแพ้ น้ำหอม (Fragrance), แอลกอฮอล์ชนิดรุนแรง, หรือ สีสังเคราะห์
• ควรอ่านฉลากส่วนผสม (Ingredients) และหลีกเลี่ยงสารที่เคยแพ้
7.การเก็บรักษามอยเจอร์ไรเซอร์
• เก็บในที่แห้งและพ้นแสงแดด เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของสารบำรุง
• ปิดฝาให้สนิททุกครั้ง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและยืดอายุการใช้งาน
8.หยุดใช้ทันทีหากมีอาการผิดปกติ
• หากใช้แล้วมีอาการ คัน แสบ แดง บวม หรือผื่นขึ้น ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
• อย่าฝืนใช้ต่อ เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบหรือเกิดการแพ้รุนแรง
มอยเจอร์ไรเซอร์ใช้ตอนไหนดี
มอยเจอร์ไรเซอร์ควรใช้เป็นประจำทั้งเช้าและเย็น เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว แต่เวลาที่เหมาะสมที่สุดขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในวันและสภาพผิว ดังนี้
1.หลังล้างหน้า ช่วงที่ผิวหมาดเล็กน้อย
• เป็นเวลาที่ดีที่สุด เพราะผิวยังมีความชื้นเล็กน้อย มอยเจอร์ไรเซอร์จะกักเก็บน้ำได้ดี
• เคล็ดลับ ซับผิวให้หมาด ไม่ควรเช็ดจนแห้งสนิท แล้วรีบทาภายใน 1-2 นาที เพื่อกักเก็บน้ำได้สูงสุด
2.ตอนเช้า หลังขั้นตอนบำรุงผิวอื่น ๆ
• ลำดับการใช้ ล้างหน้า โทนเนอร์/เอสเซนส์ เซรั่ม มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมกันแดด
• เหตุผล ช่วยเติมน้ำให้ผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำตลอดวัน และเป็นเกราะรองพื้นก่อนทาครีมกันแดดหรือแต่งหน้า
• เคล็ดลับ เลือกสูตรบางเบา เช่น เจลหรือโลชั่น หากต้องแต่งหน้า เพื่อไม่ให้รองพื้นเป็นคราบ
3.ตอนกลางคืนก่อนนอน
• ลำดับการใช้ ล้างหน้า โทนเนอร์/เอสเซนส์ เซรั่ม มอยเจอร์ไรเซอร์
• เหตุผล เป็นช่วงที่ผิวฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติ การทามอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นและเร่งกระบวนการซ่อมแซมผิว
• เคล็ดลับ หากผิวแห้งมากสามารถใช้ ครีมหรือบาล์มเข้มข้น เพื่อบำรุงล้ำลึก
4.หลังออกกำลังกายหรืออาบน้ำ
• หลังเหงื่อออกหรืออาบน้ำ ผิวมักสูญเสียน้ำและน้ำมันตามธรรมชาติ ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังซับผิวหมาด ๆ เพื่อฟื้นฟูความชุ่มชื้น
5.หลังทำหัตถการหรือใช้ยารักษาสิว
• หากทำเลเซอร์หรือใช้ยาลดสิวที่ทำให้ผิวแห้ง ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อบรรเทาอาการแห้ง ลอก หรือระคายเคือง
6.เมื่ออยู่ในสภาพอากาศแห้งหรือหนาวเย็น
• อากาศแห้งหรืออยู่ในห้องแอร์นาน ๆ อาจต้องทาซ้ำบางเบาระหว่างวันเพื่อคงความชุ่มชื้น
• สภาพอากาศหนาวเย็น ควรใช้ครีมเข้มข้นเช้า-เย็นเพื่อป้องกันผิวลอก
สรุปเวลาที่ดีที่สุดในการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์คือ ทันทีหลังล้างหน้าในขณะที่ผิวยังหมาด ทั้งเช้าและก่อนนอน รวมถึงหลังอาบน้ำหรือหลังออกกำลังกาย เพื่อกักเก็บน้ำและเสริมเกราะป้องกันผิวได้เต็มประสิทธิภาพ การใช้ต่อเนื่องสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น แข็งแรง และดูสุขภาพดีในระยะยาว
มอยเจอร์ไรเซอร์ควรใช้บ่อยแค่ไหน
มอยเจอร์ไรเซอร์ควรใช้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว แต่ความถี่ในการใช้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ไลฟ์สไตล์ และสภาพแวดล้อม ดังนี้
1.ความถี่ที่แนะนำใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
• เช้าและก่อนนอน (วันละ 2 ครั้ง) คือความถี่ที่เหมาะสมที่สุด
- ตอนเช้า ช่วยเติมน้ำให้ผิว เตรียมผิวก่อนลงกันแดดและแต่งหน้า
- ก่อนนอน ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น และเสริมการฟื้นฟูผิวในช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง
2.ปรับตามสภาพผิว
2.1 ผิวแห้งหรือขาดน้ำ
• ควรทา 2-3 ครั้ง/วัน โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหรือเมื่อรู้สึกผิวตึง
• สามารถทาเพิ่มระหว่างวันได้เมื่ออยู่ในห้องแอร์หรือสภาพอากาศแห้ง
2.2 ผิวมันหรือผิวเป็นสิว
• วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ก็เพียงพอ
• หากรู้สึกมันมากในระหว่างวัน ให้ซับความมันแทนการทาเพิ่ม เพื่อลดโอกาสอุดตัน
2.3 ผิวแพ้ง่ายหรือผิวระคายเคือง
• วันละ 2 ครั้งหรือมากกว่านั้น หากแพทย์แนะนำ โดยเลือกสูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์
3.ปรับตามสภาพอากาศและกิจกรรม
• อยู่ในห้องแอร์หรืออากาศหนาว อาจต้องทาซ้ำระหว่างวันเพื่อป้องกันผิวแห้ง
• หลังอาบน้ำหรือออกกำลังกาย ควรทาทันทีหลังซับผิวหมาด เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นที่สูญเสียไป
4.เคล็ดลับการทาให้ได้ประสิทธิภาพ
• ทาหลังล้างหน้าหรืออาบน้ำ ขณะที่ผิวยังหมาดเล็กน้อย
• ใช้ปริมาณพอเหมาะ ประมาณเมล็ดถั่วเขียวสำหรับใบหน้า
• ทาเป็นขั้นตอนสุดท้ายในสกินแคร์รูทีนก่อนกันแดดหรือก่อนนอน
โดยทั่วไป ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน และสามารถเพิ่มความถี่ได้หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำ เช่น ห้องปรับอากาศหรืออากาศหนาว การทาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิว ชุ่มชื้น แข็งแรง และลดปัญหาผิวแห้งลอกหรือริ้วรอยได้ในระยะยาว
มอยเจอร์ไรเซอร์กับครีม ทาอะไรก่อน
ลำดับการทาผลิตภัณฑ์สกินแคร์ขึ้นอยู่กับเนื้อสัมผัสและจุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สารบำรุงซึมเข้าสู่ผิวได้เต็มประสิทธิภาพ หลักการง่าย ๆ คือ ทามอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเบาก่อนแล้วทามอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเข้มข้น ดังนั้นลำดับการทาจะต่างกันตามประเภทของครีมที่ใช้
1.กรณีครีมเป็นครีมรักษาหรือบำรุงเฉพาะปัญหา
เช่น ครีมรักษาสิว ครีมไวท์เทนนิ่ง ครีมลดริ้วรอย
• ลำดับที่แนะนำ
1.โทนเนอร์ / เอสเซนส์ (ถ้ามี)
2.เซรั่มหรือเอสเซนส์เข้มข้น
3.ครีมรักษาหรือครีมเฉพาะปัญหา
4.มอยเจอร์ไรเซอร์ (ถ้าเป็นเนื้อเจลหรือโลชั่นบางเบา อาจทาก่อนครีมได้ แต่ส่วนใหญ่ทาหลังครีมเฉพาะปัญหาเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น)
เหตุผล ครีมรักษามักมีสารออกฤทธิ์ที่ต้องซึมเข้าผิวโดยตรง การทามอยเจอร์ไรเซอร์ทับจะช่วยล็อกความชุ่มชื้นโดยไม่รบกวนการทำงานของตัวยา
2.กรณีครีมเป็นครีมมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้น
เช่น ครีมให้ความชุ่มชื้นสำหรับผิวแห้งจัด
• ลำดับที่แนะนำ
1.โทนเนอร์ / เอสเซนส์
2.เซรั่ม
3.มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางกว่า (เจล/โลชั่น ถ้ามี)
4.ครีมมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้น (เป็นขั้นตอนสุดท้าย)
เหตุผล ช่วยให้เนื้อเบาซึมได้เต็มที่ และครีมเข้มข้นปิดท้ายเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
3.เคล็ดลับเพิ่มเติม
• กลางวัน หลังทามอยเจอร์ไรเซอร์หรือครีมทุกชนิด ให้ทาครีมกันแดดเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนแต่งหน้า
• กลางคืน จบด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์หรือครีมเข้มข้น เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและเร่งการฟื้นฟูผิว
มอยเจอร์ไรเซอร์ใช้แทนครีมกันแดดได้ไหม
ไม่ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แทนครีมกันแดด เพราะถึงแม้มอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว แต่ไม่มีคุณสมบัติปกป้องผิวจากรังสี UV ได้อย่างเพียงพอ เว้นแต่จะเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ผสมสารกันแดดและระบุค่า SPF ชัดเจน ซึ่งก็มีข้อควรสังเกตดังนี้
เหตุผลที่มอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วไปใช้แทนครีมกันแดดไม่ได้
1.ไม่มีสารป้องกันรังสี UV
มอยเจอร์ไรเซอร์ส่วนใหญ่เน้นการเพิ่มความชุ่มชื้น แต่ไม่ได้ผสมสารกรองรังสี UVA และ UVB การไม่ทากันแดดทำให้เสี่ยงต่อผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ และมะเร็งผิวหนังในระยะยาว
2.ค่าปกป้องไม่เพียงพอ
แม้มอยเจอร์ไรเซอร์บางชนิดจะผสม SPF แต่ส่วนใหญ่ค่า SPF ต่ำ (เช่น SPF15) และอาจไม่ครอบคลุมรังสี UVA ได้ดีเท่ากับครีมกันแดดเฉพาะทาง
3.ปริมาณที่ทาไม่พอ
คนส่วนใหญ่มักทามอยเจอร์ไรเซอร์ในปริมาณน้อยกว่าที่จำเป็นต่อการป้องกันแดด ทำให้ค่าการปกป้องไม่เต็มประสิทธิภาพ
คำแนะนำการใช้ร่วมกัน
• ตอนเช้า ล้างหน้า โทนเนอร์/เซรั่ม มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมกันแดด (เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนแต่งหน้า)
• เลือกครีมกันแดดตามสภาพผิว ผิวมันควรเลือกแบบเจลหรือฟลูอิด, ผิวแห้งเลือกสูตรครีมหรือมีมอยเจอร์ไรเซอร์เสริม
มอยเจอร์ไรเซอร์ใช้ร่วมกับอะไรได้บ้าง
มอยเจอร์ไรเซอร์สามารถใช้ร่วมกับสกินแคร์หลายชนิดได้ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบำรุงและลดการระคายเคืองของผิว โดยเฉพาะเมื่อใช้สารออกฤทธิ์เข้มข้นอย่างเซรั่มวิตามินซี หรือ เรตินอล แนะนำเทคนิคการใช้ร่วมกันได้โดยลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง
1.เซรั่มวิตามินซี
วิธีใช้ร่วมกับมอยเจอร์ไรเซอร์
• ลำดับ ล้างหน้า โทนเนอร์ (ถ้ามี) เซรั่มวิตามินซี มอยเจอร์ไรเซอร์(เช้า) ครีมกันแดด
• เหตุผล วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดรอยดำและกระตุ้นคอลลาเจน มอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วย ลดการระคายเคือง และเสริมเกราะป้องกันผิว
• เคล็ดลับ ควรใช้วิตามินซีในตอนเช้าร่วมกับครีมกันแดด เพื่อป้องกันอนุมูลอิสระจากรังสี UV
2.เรตินอล
วิธีใช้ร่วมกับมอยเจอร์ไรเซอร์
• ลำดับ ล้างหน้า โทนเนอร์/เซรั่ม (ถ้ามี) เรตินอล มอยเจอร์ไรเซอร์
• เหตุผล เรตินอลช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย แต่ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ง่าย การทามอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยลดการลอก แดง และตึงผิว
3.เซรั่มไฮยาลูรอนิก แอซิด
• ลำดับ ล้างหน้า โทนเนอร์ (ถ้ามี) เซรั่มไฮยาลูรอนิก มอยเจอร์ไรเซอร์
• เหตุผล ไฮยาลูรอนิกดึงน้ำเข้าสู่ผิว แต่มอยเจอร์ไรเซอร์จำเป็นเพื่อล็อกน้ำไม่ให้ระเหย
4.AHA / BHA (กรดผลไม้, กรดซาลิไซลิก)
• ลำดับ ล้างหน้า โทนเนอร์ (ถ้ามี) ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA/BHA มอยเจอร์ไรเซอร์
• เหตุผล AHA/BHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่ทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยปลอบประโลมผิวและเสริมเกราะป้องกัน
5.ครีมกันแดด
• ลำดับ มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมกันแดด (เป็นขั้นตอนสุดท้ายตอนเช้า)
• เหตุผล ครีมกันแดดต้องทาเป็นชั้นสุดท้ายเพื่อสร้างเกราะป้องกันรังสี UV
6.สารบำรุงอื่น ๆ
• ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ใช้ร่วมได้ทั้งเช้า-เย็น มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยเสริมความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง
• เปปไทด์ (Peptides), วิตามิน E, สารสกัดพืช สามารถใช้ร่วมกับมอยเจอร์ไรเซอร์ได้โดยไม่มีปัญหา
สรุปมอยเจอร์ไรเซอร์สามารถใช้ร่วมกับวิตามินซี, เรตินอล, AHA/BHA, ไฮยาลูรอนิกได้ หลักสำคัญคือทาเซรั่มหรือสารออกฤทธิ์ก่อน แล้วปิดท้ายด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง โดยเฉพาะเรตินอลและ AHA/BHA ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์คู่กันเพื่อป้องกันผิวแห้งและลอก พร้อมปกป้องเกราะผิวให้แข็งแรง
มอยเจอร์ไรเซอร์ใช้หลังทำหัตถการได้ไหม
มอยเจอร์ไรเซอร์สามารถใช้หลังทำหัตถการได้ แต่ต้องเลือกสูตรและวิธีใช้ที่เหมาะสม เพื่อช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง และเร่งการฟื้นฟูผิวที่บอบบางหลังการทำหัตถการ
เหตุผลที่ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์หลังทำหัตถการ
1.มอยเจอร์ไรเซอร์เติมความชุ่มชื้นและลดความตึงผิว
หลังทำเลเซอร์, HIFU, Thermage, หรือการฉีดต่าง ๆ ผิวมักสูญเสียน้ำ ทำให้แห้งและตึง มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยกักเก็บน้ำและทำให้ผิวสบายขึ้น
2.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
หัตถการหลายชนิดทำให้เกราะผิวอ่อนแอ มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมอย่าง เซราไมด์ (Ceramides) หรือ กรดไขมันจำเป็น จะช่วยซ่อมแซมและสร้างเกราะป้องกันใหม่
3.มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยลดการระคายเคืองและรอยแดง
ส่วนผสมที่ปลอบประโลม เช่น แพนทีนอล (Panthenol), ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) ช่วยลดอาการแสบแดงและเร่งการสมานผิว
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
• ขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ
- เลเซอร์ผิว/ทำทรีตเมนต์ที่ทำให้ผิวลอกหรือบอบบาง ควรเริ่มใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ ทันทีหลังจากแพทย์อนุญาต (มักหลัง 6-24 ชม.หรือเมื่อผิวไม่มีเลือดซึมหรือสะเก็ดสด)
- การฉีดโบท็อกซ์, ฟิลเลอร์, เมโส โดยทั่วไปสามารถทามอยเจอร์ไรเซอร์ได้ ทันทีหลังการฉีด เว้นแต่แพทย์แนะนำให้รอ
• ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะหัตถการแต่ละประเภทมีการดูแลหลังทำไม่เหมือนกัน
วิธีเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์หลังทำหัตถการ
• เลือกสูตรมอยเจอร์ไรเซอร์ที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์
• ส่วนผสมแนะนำ
- เซราไมด์ (Ceramides) ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
- แพนทีนอล (Panthenol) ลดการอักเสบและระคายเคือง
- ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) ให้ความเย็นและปลอบประโลม
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เติมน้ำลึกให้ผิวโดยไม่เพิ่มความมัน
• หลีกเลี่ยง ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลไม้ (AHA/BHA), เรตินอล, หรือวิตามินซีเข้มข้นในช่วง 5-7 วันแรก เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองเพิ่มขึ้น
เคล็ดลับดูแลผิวร่วมกับใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จะได้ผลดียิ่งขึ้นเมื่อดูแลผิวควบคู่กับการปกป้องผิวจากรังสี UV, เติมน้ำให้ร่างกาย และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น แข็งแรง และดูสุขภาพดีในระยะยาว
1.ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน
• ใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ที่ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว
• หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำร้อนจัด เพราะจะดึงน้ำออกจากผิว
• ซับผิวให้หมาด ๆ ไม่เช็ดแรง เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับมอยเจอร์ไรเซอร์
2.ทามอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังล้างหน้า
• ทา ภายใน 1-2 นาทีหลังล้างหน้า ตอนที่ผิวยังหมาดเล็กน้อย
• ความชื้นที่ค้างบนผิวจะช่วยให้มอยเจอร์ไรเซอร์กักเก็บน้ำได้ดียิ่งขึ้น
3.ใช้ปริมาณมอยเจอร์ไรเซอร์พอเหมาะ
• สำหรับใบหน้า ปริมาณมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะคือประมาณเมล็ดถั่วเขียวถึงเมล็ดถั่วลิสง
• ทามากเกินไปอาจทำให้ผิวเหนอะหนะหรือเกิดการอุดตัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวมันหรือเป็นสิว
4.เลือกสูตรมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว
• ผิวมัน/เป็นสิว เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์สูตร Oil-free, Non-comedogenic เนื้อเจลหรือโลชั่นบางเบา
• ผิวแห้ง ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทครีมหรือบาล์มที่มีเซราไมด์, เชียบัตเตอร์, สควาเลน
• ผิวแพ้ง่าย เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์สูตรปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และมีส่วนผสมปลอบประโลม เช่น แพนทีนอล หรือว่านหางจระเข้
5.เสริมด้วยการใช้เซรั่มหรือเอสเซนส์
• ก่อนมอยเจอร์ไรเซอร์ สามารถทาเซรั่มที่มีสารบำรุงเข้มข้น เช่น
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด เพื่อเพิ่มน้ำให้ผิว
- วิตามินซี เพื่อต้านอนุมูลอิสระและลดรอยดำ
- ไนอะซินาไมด์ ช่วยลดการระคายเคืองและควบคุมความมัน
• ปิดท้ายด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อกักเก็บสารบำรุงให้ซึมลึกและคงอยู่ได้นาน
6.ปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด
• ทาครีมกันแดดเป็นขั้นตอนสุดท้ายทุกเช้า แม้จะอยู่ในอาคาร
• ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากรังสี UV และป้องกันริ้วรอย จุดด่างดำ
7.ดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นจากภายใน
• ดื่มน้ำเพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
• รับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ส้ม เบอร์รี่ แตงกวา
• ลดการบริโภคอาหารรสเค็มจัดหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ผิวสูญเสียน้ำ
8.รักษาสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
• หากอยู่ในห้องปรับอากาศหรืออากาศแห้ง ควรใช้เครื่องเพิ่มความชื้นเพื่อป้องกันผิวแห้ง
• พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ซึ่งมีผลต่อสมดุลผิว
9.หลีกเลี่ยงการใช้สารผลัดเซลล์หรือสารออกฤทธิ์แรงพร้อมกันโดยไม่จำเป็น
• หากใช้ AHA, BHA หรือเรตินอล ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อบรรเทาผิว แต่ควรสังเกตอาการระคายเคืองและปรับความถี่ในการใช้ให้เหมาะสม
สรุปเกี่ยวกับมอยเจอร์ไรเซอร์
สรุปว่ามอยเจอร์ไรเซอร์ไม่ใช่เพียงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป แต่เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ช่วยดูแลผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น และมีสุขภาพดีในระยะยาว การเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวไม่เพียงช่วยลดปัญหาผิวแห้ง ลอก หรือระคายเคือง แต่ยังช่วยให้สกินแคร์ตัวอื่น ๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะมีผิวแบบใด การทามอยเจอร์ไรเซอร์เป็นประจำเช้า-เย็นคือกุญแจสำคัญในการรักษาสมดุลผิวและป้องกันริ้วรอยก่อนวัย เพื่อให้ผิวของคุณเนียนนุ่มและดูอ่อนเยาว์ได้ในระยะยาว
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ