โปรแกรมเมโส คืออะไร มีทั้งหมดกี่แบบ ช่วยเรื่องอะไร อันตรายหรือไม่
เมโส
เมโสคืออะไร มีทั้งหมดกี่แบบ ช่วยเรื่องอะไร อันตรายหรือไม่
เมโสมักจะมาพร้อมกับคำว่าหน้าใส เราเลยจะเรียกคู่กันว่า เมโสหน้าใส (Mesotherapy) ซึ่งจริง ๆ แล้วคำว่า เมโส หมายถึง การฉีดลงในชั้นกลางของผิว บทความนี้จะมาให้คำตอบว่าเมโสมีทั้งหมดกี่แบบและช่วยเรื่องอะไรบ้าง อันตรายหรือไม่
รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับเมโส
- เมโสมีที่มาจากอะไร
- เมโสช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- การฉีดเมโสอันตรายหรือไม่
- เมโสมีทั้งหมดกี่แบบแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
- เมโสหน้าใสต้องตัวไหนดี
- สะกิดเมโสหน้าใสกับฉีดเมโสหน้าใสต่างกันอย่างไร
- ผลข้างเคียงของการฉีดเมโสมีอะไรบ้าง
- ใครที่เหมาะกับการฉีดเมโส
- ฉีดเมโสหน้าใสกี่ครั้งถึงเห็นผล
- เมโสหน้าใสอยู่ได้นานแค่ไหน
- หลังฉีดเมโสแล้วต้องดูแลตัวอย่างไร
- เมโสหน้าใสต่างจากเลเซอร์หน้าใสอย่างไร
- คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับเมโส
1.เมโสหน้าใสบวมกี่วัน
2.หลังทำเมโสหน้าใสแล้วมีผื่นต้องทำอย่างไร
3.รูขุมขนกว้าง หน้ามัน มีฝ้า ฉีดเมโสช่วยได้หรือไม่
4.ทำเมโสเจ็บไหม
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับเมโส
เมโสมีที่มาจากอะไร
เมโส หรือที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า เมโสหน้าใส มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Meso” ซึ่งแปลว่า “กลาง” หรือ “ตรงกลาง” โดยมีความหมายเชื่อมโยงกับการดูแลผิวหนังในระดับชั้นกลาง หรือที่เรียกว่า ชั้นหนังแท้ (Dermis)
โครงสร้างผิวหนัง (Skin Layers Diagram)
ผิวหนังของเราประกอบด้วย 3 ชั้นหลัก ได้แก่
1.ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
• เป็นชั้นผิวที่อยู่ด้านนอกสุด ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อม มลภาวะ และเชื้อโรคต่าง ๆ
• เป็นชั้นที่มีการผลัดเซลล์ผิวอย่างต่อเนื่อง
2.ชั้นหนังแท้ (Dermis)
• เป็นชั้นผิวที่อยู่ “ตรงกลาง” ซึ่งประกอบไปด้วยคอลลาเจน อีลาสติน เส้นเลือดฝอย และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
• มีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น และความแข็งแรงของผิว
3.ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat Layer)
• เป็นชั้นที่อยู่ลึกสุด ทำหน้าที่เก็บพลังงาน และช่วยรองรับแรงกระแทก
• มีบทบาทในการรักษาอุณหภูมิร่างกายและโครงสร้างใบหน้า
การฉีดเมโสจึงเป็นเทคนิคที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงผิวใน “ชั้นหนังแท้” ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของผิวหนังที่ทำให้ผิวดูสดใส อิ่มฟูมากขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฉีดเมโส ฉีดเมโส คืออะไร กี่ครั้งเห็นผล อันตรายไหม หน้าบวมกี่วันหาย
ทำไมต้องดูแลผิวชั้นหนังแท้
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลายอย่าง เช่น การลดลงของ คอลลาเจน และ อีลาสติน รวมถึงโครงสร้างใบหน้าที่เปลี่ยนแปลง (กระดูกยุบ เส้นเอ็นหย่อน) ส่งผลให้ผิวขาดความตึงกระชับ แห้งกร้าน และหมองคล้ำได้ง่ายมากขึ้น
สัญญาณผิวที่พบบ่อย ได้แก่
• ผิวแห้งและขาดน้ำ
• ผิวไม่สม่ำเสมอ
• ความหมองคล้ำ
• ริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
เมโสช่วยเรื่องอะไรบ้าง
แม้ผลลัพธ์ในการทำเมโสจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน แต่โดยทั่วไป การฉีดเมโสสามารถให้ผลดีในด้านต่าง ๆ ดังนี้
• เมโสเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
• เมโสเสริมความแข็งแรงให้ผิว ลดโอกาสเกิดการระคายเคือง
• เมโสช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น
• เมโสลดโอกาสเกิดสิว ผดผื่น ฝ้า กระ และจุดด่างดำ
• เมโสปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอขึ้น
• เมโสลดลักษณะรูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
• เมโสทำให้ผิวดูสดใส อิ่มฟูขึ้น
• เมโสลดโอกาสการเกิดริ้วรอยใหม่บนใบหน้า
การฉีดเมโสหน้าใสเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลผิวที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีขึ้น หากทำโดยแพทย์ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมความมั่นใจ
การฉีดเมโสอันตรายหรือไม่
คำถามที่พบบ่อยในกลุ่มคนที่สนใจดูแลผิวพรรณ คือ การฉีดเมโสหน้าใสอันตรายไหม คำตอบคือ โดยทั่วไป การฉีดเมโส ถือว่าเป็นหัตถการที่ไม่อันตราย หากดำเนินการโดยแพทย์และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
ทำไมเมโสจึงถูกจัดว่าเป็นหัตถการที่ไม่เป็นอันตราย
สารที่ใช้ในการฉีดเมโสหน้าใสมักประกอบด้วยส่วนผสมที่มีคุณประโยชน์ต่อผิว เช่น
- วิตามิน A, B, C, E
- กลูตาไธโอน
- ทรานซามิน (Transamin)
- คอลลาเจน
- โคเอนไซม์ และสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ
สารเหล่านี้มีบทบาทในการช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ให้ผิวดูแข็งแรง กระจ่างใส และมีความชุ่มชื้น โดยการฉีดเมโสจะนำสารบำรุงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง ทำให้สามารถดูแลผิวได้ตรงจุดกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบทั่วไป
มีสูตรเมโสให้เลือกตามปัญหาผิว
ปัจจุบันการฉีดเมโสมีหลายสูตรที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับปัญหาผิวที่แตกต่างกัน เช่น
- สูตรเมโสสำหรับผิวหน้าขาวกระจ่างใส
- สูตรเมโสสำหรับช่วยลดการอักเสบของสิว ผื่นแพ้ หรือผิวที่ระคายเคืองง่าย
อย่างไรก็ตาม ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินผิวก่อนเลือกสูตรที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
เช็คลิสต์ฉีดเมโสไม่ให้เป็นอันตราย
ตัวยาเมโสต้องผ่านการรับรองจาก อย.
ตัวยาเมโสของแท้จะต้องมีฉลากภาษาไทยและเลขทะเบียน อย.ที่ชัดเจน พร้อมเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง
มีกฎหมายควบคุมการใช้ยาอย่างเข้มงวด
ตัวยาบางชนิดในเมโสถูกจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ซึ่งสามารถจำหน่ายให้แพทย์หรือสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อหรือฉีดเองได้
สถานที่ที่ให้บริการต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการถูกต้องตามกฎหมาย
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเป็นสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน ไม่อันตราย และมีความรับผิดชอบทางการแพทย์
ดำเนินการโดยแพทย์
หัตถการฉีดเมโสควรดำเนินการโดยผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในกายวิภาคของใบหน้า และสามารถประเมินสภาพผิวได้
เมโสมีทั้งหมดกี่แบบแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยบำรุงผิวอย่างตรงจุด โดยสารบำรุงจะถูกส่งเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง ซึ่งเป็นจุดที่มีคอลลาเจน อีลาสติน และเส้นเลือดฝอยอยู่มาก การดูแลผิวที่ชั้นนี้จึงสามารถช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาชุ่มชื้น ดูกระจ่างใส และแข็งแรงได้ดี
ประเภทของเมโสหน้าใส แบ่งตามเทคนิคการฉีด
การฉีดเมโสหน้าใสสามารถแบ่งออกเป็น 2 เทคนิคหลัก โดยแต่ละแบบมีจุดเด่นที่ต่างกัน ดังนี้
1.เมโสสะกิด (Mesotherapy with Microneedling Technique)
ลักษณะการทำเมโสสะกิด
ใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษสะกิดตัวยาบำรุงเข้าสู่ผิวหนังแบบถี่ ๆ ทั่วใบหน้า โดยจะเน้นที่ชั้นผิวระดับตื้นถึงชั้นกลาง
ข้อดีของการทำเมโสสะกิด
• ช่วยกระตุ้นให้ผิวเกิดการซ่อมแซมตัวเอง
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
• เพิ่มประสิทธิภาพของตัวยาให้ซึมซับได้ดีมากขึ้น
ข้อควรระวังในการทำเมโสสะกิด
• หลังทำอาจมีรอยแดง รอยช้ำ หรือรู้สึกระคายเคืองในบางบริเวณ
• มีความเสี่ยงต่อการอักเสบหรือติดเชื้อ หากอุปกรณ์ที่ใช้ไม่สะอาดหรือไม่ได้ทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
• ไม่ควรซื้อเมโสมาฉีดเอง เนื่องจากอันตรายและมีความเสี่ยงสูง
2.เมโส 16 จุดทั่วใบหน้า (16-Point Facial Mesotherapy)
ลักษณะการทำเมโส 16 จุด
เป็นการฉีดสารบำรุงเฉพาะจุด โดยอิงจากตำแหน่งของต่อมน้ำเหลืองหลักบนใบหน้าทั้งหมด 16 จุด เพื่อให้ตัวยากระจายตัวได้ดีทั่วใบหน้า
ข้อดีของการทำเมโส 16 จุด
• ตัวยาบำรุงสามารถไหลเวียนได้ทั่วทั้งใบหน้าผ่านระบบน้ำเหลือง
• ช่วยลดอาการบวมและขับของเสียที่สะสมใต้ผิว
• โอกาสเกิดรอยช้ำน้อยกว่าวิธีสะกิด เนื่องจากฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมและลึกน้อยกว่า
• ใช้เวลาฟื้นตัวเร็ว ผู้รับบริการส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำ
• เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรอยช้ำหรือการพักฟื้นนาน
ควรเลือกเมโสแบบไหนดี
การเลือกเทคนิคในการฉีดเมโสขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
• สภาพผิวของแต่ละบุคคล
• ปัญหาที่ต้องการแก้ไข (ผิวหมองคล้ำ สิว ผิวขาดน้ำ หรือริ้วรอย)
เมโสหน้าใสต้องตัวไหนดี
ในปัจจุบันมีเมโสหน้าใสหลายสูตรให้เลือกใช้ ซึ่งเมโสแต่ละสูตรถูกออกแบบมาเพื่อดูแลปัญหาผิวที่แตกต่างกัน เช่น ความหมองคล้ำ รอยสิว ความแห้งกร้าน หรือริ้วรอย โดยเมโสแต่ละแบรนด์จะมีจุดเด่นเฉพาะตัว ทั้งในด้านส่วนผสม เทคโนโลยี และกลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะสม
การเลือกใช้เมโสหน้าใสที่เหมาะสม ควรได้รับการประเมินโดยแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะกับสภาพผิวและไม่มีความเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือผลข้างเคียง
1.Made Collagen (มาเด้ คอลลาเจน)
คุณสมบัติเด่นของเมโสมาเด้คอลลาเจน
ประกอบด้วยคอลลาเจน วิตามินซี วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยลดการอักเสบของผิว ขับของเสีย และฟื้นฟูผิวให้ดูแข็งแรง
เหมาะกับ
• ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
• ผู้ที่มีสิว ผดผื่น หรือผิวอักเสบ
• ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวแบบเร่งด่วนให้กลับมาแข็งแรง
• ผู้ที่ต้องการกระตุ้นระบบไหลเวียนน้ำเหลืองในผิวหน้า
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Made Collagen Made Collagen คืออะไร กี่ครั้งเห็นผล ฉีดบ่อยแค่ไหน ที่ไหนดี
2.Filorga (ฟิลอก้า)
คุณสมบัติเด่นของเมโส Filorga
มีกรดไฮยาลูโรนิกแบบโมเลกุลเดี่ยว วิตามิน และกรดอะมิโน ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำ ดูเรียบเนียนและกระชับรูขุมขน
เหมาะกับ
• ผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ
• ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง แต่งหน้าไม่ติด
• ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็กใต้ตา หรือผิวรอบดวงตาหมองคล้ำ
• ผู้ที่ต้องการเติมเต็มผิวให้ดูชุ่มชื้นและสดใส
3.REVS (รีเวิร์ส)
คุณสมบัติเด่นของเมโส REVS
เมโสสัญชาติเกาหลี มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid, Peptides, Vitamin C และ Polynucleotide (PN) ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหาย และปกป้องผิวจากมลภาวะ
เหมาะกับ
• ผู้ที่มีผิวแห้ง รูขุมขนกว้าง
• ผู้ที่มีผิวอ่อนล้าหรือพักผ่อนน้อย
• ผู้ที่ต้องการผิวอิ่มน้ำ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
• ผู้ที่ต้องการป้องกันและฟื้นฟูผิวจากแสงแดดหรือมลภาวะ
4.Tensonez (เทนโซเนส)
คุณสมบัติเด่นของเมโส Tensonez
มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid, Collagen, Peptides และสารช่วยลดเม็ดสี ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดรอยแดง จุดด่างดำ และรอยสิว
เหมาะกับ
• ผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ และผิวหมองคล้ำ
• ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนและดูกระจ่างใส
• ผู้ที่มีผิวบอบบาง
• ผู้ที่มีสภาพผิวไม่สม่ำเสมอ
5.Alpha Arbutin
คุณสมบัติเด่นของเมโส Alpha Arbutin
มีสาร Alpha Arbutin เป็นหลักร่วมกับ Vitamin C และ Niacinamide ช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวดูสว่าง กระจ่างใสขึ้น
เหมาะกับ
• ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ และรอยดำจากสิว
• ผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอ
• ผู้ที่เคยใช้ครีมลดฝ้าแล้วไม่เห็นผล
• ผู้ที่ต้องการลดความหมองคล้ำและเสริมเกราะป้องกันผิว
6.Neo-Glutanex Glow
คุณสมบัติเด่นของเมโส Neo-Glutanex Glow
มี Glutathione, Vitamin C, Peptides และ Hyaluronic Acid ช่วยลดการผลิตเม็ดสี เติมความชุ่มชื้น ปรับสีผิวให้สว่างสม่ำเสมอ และลดริ้วรอย
เหมาะกับ
• ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือแต่งหน้าไม่ติด
• ผู้ที่มีใต้ตาคล้ำ ผิวหมองคล้ำจากการพักผ่อนน้อย
• ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวรอบดวงตาให้ดูสดใส
• ผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงให้ผิว และลดการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
เมโสหน้าใสสูตรไหนดีที่สุด
ไม่มีสูตรไหนดีที่สุดแบบตายตัว เพราะแต่ละสูตรออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ดังนั้น คำว่า "เมโสตัวไหนดี" ควรพิจารณาจาก
• สภาพผิวของตัวเอง
• ปัญหาผิวหลักที่ต้องการดูแล
• ความเหมาะสมของตัวยากับร่างกายแต่ละบุคคล
• คำแนะนำจากแพทย์
สะกิดเมโสหน้าใสกับฉีดเมโสหน้าใสต่างกันอย่างไร
การสะกิดเมโสหน้าใส (Microneedle Meso Therapy) เป็นเทคนิคที่ใช้เข็มขนาดเล็กสะกิดผิวหน้าในชั้นตื้น แล้วเติมตัวยาเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายทั่วใบหน้า
จุดเด่นของการสะกิดเมโสหน้าใสวิธีนี้
• ช่วยให้ตัวยาถูกส่งผ่านเข้าสู่ผิวได้ดี
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นตื้น
• เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบทั่วทั้งใบหน้า
ข้อควรพิจารณา
• อาจมีรอยเข็มหรือรอยแดงชั่วคราวหลังทำ
• ถ้าดูแลความสะอาดของอุปกรณ์หรือสถานที่ไม่ดีพอ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ
• ปัจจุบันเทคนิคนี้เริ่มมีการใช้น้อยลง เพราะมีวิธีที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงแต่เจ็บน้อยกว่า
การฉีดเมโสหน้าใส (16 จุดบนใบหน้า)
เป็นเทคนิคการฉีดตัวยาลงในผิวชั้นตื้นแบบเฉพาะจุด โดยจะฉีดเมโสตามตำแหน่งมาตรฐาน 16 จุดที่มีผลต่อระบบไหลเวียนและการฟื้นฟูผิวหน้า เช่น บริเวณแก้ม หน้าผาก คาง เป็นต้น
จุดเด่นของวิธีฉีดเมโสหน้าใส 16 จุดบนใบหน้า
• เจ็บน้อยกว่าการสะกิดทั่วหน้า เพราะฉีดเป็นจุด ๆ ไม่ทั่วใบหน้า
• มีรอยช้ำและรอยเข็มน้อยกว่า
• ลดโอกาสการระคายเคือง เพราะแผลน้อยกว่า
• ตัวยาออกฤทธิ์ตรงจุด และอาจให้ผลลัพธ์ที่นานกว่าการสะกิด
• มีแนวโน้มให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า และเป็นที่นิยมในคลินิกความงามหลายแห่งในปัจจุบัน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมโสหน้าใส เมโสหน้าใส คืออะไร ฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน
ผลข้างเคียงของการฉีดเมโสมีอะไรบ้าง
การฉีดเมโสหน้าใสถือเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในการดูแลผิวหน้า ด้วยคุณสมบัติของตัวยาที่ช่วยบำรุงผิวอย่างล้ำลึก อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นวิธีที่ไม่อันตรายเมื่อทำโดยแพทย์และรับบริการในคลินิกที่ได้มาตรฐาน แต่ก็ยังอาจเกิดผลข้างเคียงได้ในบางกรณี โดยผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถแบ่งตามสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้
1.รอยเข็มชั่วคราวหลังฉีดเมโส
ลักษณะอาการหลังฉีดเมโส
หลังการฉีดเมโสหน้าใส อาจเกิดรอยเข็มเล็ก ๆ บนผิวหน้า ซึ่งเป็นอาการปกติ ไม่ได้ถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อน รอยเหล่านี้จะจางลงและหายไปเองภายใน 1-3 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือการดูแลพิเศษ
คำแนะนำ
สามารถดูแลเบื้องต้นโดยการประคบเย็น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแต่งหน้าหนา ๆ ในช่วงวันแรกหลังทำ
2.การอักเสบหรือติดเชื้อหลังฉีดเมโส
มักเกิดจากกระบวนการทำที่ไม่สะอาด เช่น ใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ หรือทำในสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน
ลักษณะอาการหลังฉีดเมโส
อาการจะเริ่มแสดงหลังจาก 1-3 วัน โดยมีผื่นแดง บวม หรือคันผิดปกติ และอาจลุกลามเป็นหนองในบางราย
แนวทางป้องกันและรักษา
• ควรรีบพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
• มักรักษาได้ด้วยยาฆ่าเชื้อภายใต้การดูแลของแพทย์
• เลือกฉีดเมโสในคลินิกที่สะอาด ได้มาตรฐาน และมีใบอนุญาตประกอบกิจการที่ชัดเจน
3.อาการแพ้ยาชา
ผู้รับบริการบางรายอาจมีประวัติแพ้ยาชาแต่ไม่เคยรู้มาก่อน โดยเฉพาะในกรณีที่คลินิกใช้การแปะยาชาก่อนฉีดเมโส
ลักษณะอาการหลังฉีดเมโส
เกิดอาการบวม แดง หรือผื่นบริเวณที่ทายาชาทันทีหลังการฉีดเมโส ซึ่งมักเป็นแบบเฉพาะจุด แต่บางกรณีอาจลามทั่วใบหน้า
คำแนะนำ
• อาการแพ้ยาชาแบบไม่รุนแรงจะหายได้เองใน 12-24 ชั่วโมง
• หากมีอาการบวมนานเกินหนึ่งวัน ควรรีบพบแพทย์
• หากเคยมีประวัติแพ้ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง
โดยทั่วไป การฉีดเมโสไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา เพราะขั้นตอนนี้เจ็บเพียงเล็กน้อยและสามารถประคบเย็นแทนได้
4.การฉีดเมโสกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ (หมอกระเป๋า)
การฉีดเมโสหน้าใสกับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ไม่มีความรู้ทางกายวิภาค และไม่สามารถควบคุมความสะอาดของอุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสม
ความเสี่ยง
• เสี่ยงใช้ตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น เมโสปลอมหรือยาหิ้วที่ไม่ผ่าน อย.
• อาจฉีดผิดตำแหน่ง เกิดอาการบวม ช้ำ ติดเชื้อ หรือรุนแรงถึงขั้นเส้นประสาทเสียหาย
• กฎหมายไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปนำเข้าหรือครอบครองยาฉีดเหล่านี้ จึงไม่สามารถยืนยันที่มาและความปลอดภัยได้เลย
5.ตัวยาเมโสหน้าใสที่ไม่ได้มาตรฐาน
ลักษณะของตัวยาปลอม
• ไม่มีเลขทะเบียน อย.
• จำหน่ายทางออนไลน์หรือแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
• อาจมีส่วนผสมของสารต้องห้าม เช่น สเตียรอยด์ หรือสารเร่งขาว
ผลข้างเคียง
• แม้จะเห็นผลเร็วในช่วงแรก แต่ระยะยาวอาจส่งผลให้
• ผิวบางลง
• ไวต่อแสง
• เกิดฝ้า ริ้วรอยก่อนวัย
• มีความเสี่ยงต่อการแพ้อย่างรุนแรง หรือถึงขั้นมะเร็งผิวหนังในระยะยาว
เมโสจัดจำหน่ายให้กับแพทย์เท่านั้น และมีการควบคุมโดยกฎหมายอย่างเข้มงวด การซื้อมาฉีดเองหรือใช้ของปลอมจึงถือเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงอย่างมาก
6.การซื้อตัวยามาฉีดเอง
สาเหตุของความเสี่ยง
• ไม่มีความรู้ทางการแพทย์หรือกายวิภา
• ไม่สามารถแยกแยะตัวยาของแท้กับปลอม
• ไม่มีอุปกรณ์ปลอดเชื้อมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ อักเสบ หรือฉีดผิดตำแหน่ง
ไม่ควรฉีดเมโสหน้าใสด้วยตนเองโดยเด็ดขาด ควรให้แพทย์เป็นผู้ดำเนินการทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นอันตราย
ใครที่เหมาะกับการฉีดเมโส
การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ หรือมีปัญหาผิวที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างตรงจุด ซึ่งกลุ่มที่เหมาะกับการฉีดเมโสมีดังนี้
1.ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลผิวเป็นประจำ
เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาทาครีมบำรุง หรือมีเวลาจำกัดในการทำสกินแคร์รูทีน เช่น คนที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือเดินทางบ่อย เมโสสามารถช่วยให้ผิวได้รับสารบำรุงโดยตรงในระยะเวลาสั้น
2.ผู้ที่ต้องการเห็นผลเร็วในการดูแลผิว
เมโสหน้าใสเหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูดีขึ้นในเวลาสั้น เช่น ก่อนออกงานสำคัญ ถ่ายภาพ หรือต้องพบเจอผู้คน เพราะการฉีดเมโสช่วยให้ผิวดูสดใส ชุ่มชื้นขึ้นภายในไม่กี่วันหลังทำ
3.ผู้ที่มีปัญหาผิวเฉพาะจุด
เช่น
• ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
• มีรอยสิว จุดด่างดำ หรือฝ้า กระ
• รูขุมขนกว้าง ผิวแห้ง ขาดน้ำ
• มีริ้วรอยตื้น ๆ จากผิวที่ขาดความยืดหยุ่น
การฉีดเมโสจะช่วยบำรุงผิวจากภายใน และฟื้นฟูผิวอย่างตรงจุดมากกว่าการทาครีมทั่วไป
4.ผู้ที่พักผ่อนน้อยหรือมีพฤติกรรมที่กระทบสุขภาพผิว
เช่น นอนดึก อดนอน เครียด หรือเผชิญกับมลภาวะบ่อย ๆ จนส่งผลให้ผิวอ่อนล้า ไม่สดใส เมโสสามารถช่วยฟื้นสภาพผิวให้กลับมาดูมีชีวิตชีวาได้ง่ายขึ้น
5.ผู้ที่ต้องการดูแลผิวในเชิงป้องกัน
ไม่จำเป็นต้องรอให้ผิวมีปัญหา การฉีดเมโสบางสูตรสามารถใช้ในเชิงบำรุง เพื่อเสริมความแข็งแรงให้ผิว และการเกิดริ้วรอยหรือปัญหาในอนาคตได้เช่นกัน
ฉีดเมโสหน้าใสกี่ครั้งถึงเห็นผล
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “ต้องฉีดเมโสหน้าใสกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ? ” ซึ่งคำตอบในเรื่องนี้ ไม่มีจำนวนครั้งที่ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
• สภาพผิวของแต่ละคน
• ปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข (เช่น รอยสิว ฝ้า กระ ผิวแห้ง หรือผิวหมองคล้ำ)
• ประเภทของเมโสที่ใช้
• ผลลัพธ์ที่ต้องการ
• การดูแลตัวเองหลังฉีดเมโส
แนวทางเบื้องต้นในการฉีดเมโส
ผู้ที่มีปัญหาผิวเฉียบพลัน เช่น ผิวโทรมจากการพักผ่อนน้อย หรือผิวแห้งขาดน้ำ
อาจเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกหลังฉีดเมโส 3-5 วัน โดยผิวจะดูชุ่มชื้น สดใสขึ้น
ผู้ที่ต้องการลดรอยสิว ฝ้า กระ หรือฟื้นฟูผิวในระยะยาว
มักแนะนำให้ฉีดเมโสติดต่อกัน 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะทุก 1-2 สัปดาห์ จากนั้นสามารถเว้นช่วงให้ห่างขึ้นเพื่อคงสภาพผิว เช่น เดือนละ 1 ครั้ง
ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวในเชิงป้องกัน
อาจเลือกฉีดเมโสเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อคงความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว
เมโสหน้าใสอยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์ของการฉีดเมโสหน้าใสมักอยู่ได้ประมาณ 2-4 สัปดาห์
ภายในช่วงเวลานี้ ผิวมักจะดูชุ่มชื้นขึ้น สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น และรอยสิวหรือจุดด่างดำอาจดูจางลง หากมีปัจจัยที่มากระทบ เช่น แสงแดด มลภาวะ หรือการพักผ่อนน้อย อาจส่งผลให้ผิวกลับมาหมองคล้ำหรือเกิดสิวใหม่ได้ จึงสามารถกลับมาฉีดซ้ำเพื่อกระตุ้นได้ตามความเหมาะสม
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาของผลลัพธ์ในการฉีดเมโส
สูตรและส่วนผสมของเมโสที่ใช้
เมโสแต่ละสูตรมีสารประกอบและความเข้มข้นที่แตกต่างกัน เช่น บางสูตรเน้นให้ผิวชุ่มชื้น บางสูตรเน้นลดรอยแดง หรือปรับสีผิว ซึ่งจะส่งผลต่อความคงทนของผลลัพธ์
สภาพผิวของแต่ละบุคคล
คนที่มีผิวแข็งแรง พื้นฐานผิวดี อาจเห็นผลได้นานกว่า
ในขณะที่ผิวอ่อนแอหรือมีปัญหาสะสม อาจต้องการการดูแลต่อเนื่อง
พฤติกรรมและการดูแลผิวหลังฉีดเมโส
การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเพียงพอ พักผ่อนให้พอ และหลีกเลี่ยงมลภาวะ จะช่วยคงผลลัพธ์ให้นานขึ้น แต่หากไม่ดูแลผิวให้เหมาะสม ผลลัพธ์ก็อาจจางลงเร็วขึ้นได้เช่นกัน
ความถี่ในการฉีดเมโส
หากทำต่อเนื่องตามแผนที่แพทย์แนะนำ เช่น ทุก 1-2 สัปดาห์ในช่วงแรก และค่อย ๆ เว้นช่วงห่างในระยะยาว จะช่วยรักษาสภาพผิวให้ดูดีสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
หลังฉีดเมโสแล้วต้องดูแลตัวอย่างไร
หลังฉีดเมโสหน้าใส อาจมีรอยแดง รอยช้ำ หรือเห็นตุ่มตัวยาเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการปกติและจะค่อย ๆ หายไปภายใน 1-3 วัน ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำดังนี้
• หลีกเลี่ยงการจับหรือกดบริเวณที่ฉีดเมโส เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
• งดแต่งหน้าและล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์รุนแรงใน 24 ชั่วโมงแรก
• ทาครีมบำรุงและกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
• สังเกตอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงรุนแรงหรือปวดมากผิดปกติ หากมีควรรีบปรึกษาแพทย์
• ควรฉีดเมโสอย่างต่อเนื่องตามแผนการรักษา เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนาน
เมโสหน้าใสต่างจากเลเซอร์หน้าใสอย่างไร
เมโสหน้าใส คือการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง เพื่อฟื้นฟูผิวจากภายใน เช่น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดรอยสิว ผิวกระจ่างใส
เลเซอร์หน้าใส คือการใช้พลังงานแสงยิงลงบนผิว เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดเม็ดสี รอยดำ และกระตุ้นคอลลาเจน
เมโสเน้น “บำรุงลึกจากภายใน” เลเซอร์เน้น “ปรับผิวจากภายนอก”
สามารถทำร่วมกันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับเมโส
1.เมโสหน้าใสบวมกี่วัน ?
หลังฉีดเมโสหน้าใส อาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือเห็นตุ่มตัวยาชั่วคราว ซึ่งโดยปกติจะยุบลงภายใน 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน และจุดที่ฉีด
2.หลังทำเมโสหน้าใสแล้วมีผื่น ต้องทำอย่างไร ?
หากมี ผื่นแดง คัน หรือระคายเคือง อาจเกิดจากการแพ้ส่วนผสมบางชนิด ควร หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายผิว และ รีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อประเมินอาการและให้คำแนะนำที่เหมาะสม
3.รูขุมขนกว้าง หน้ามัน มีฝ้า ฉีดเมโสช่วยได้หรือไม่?
เมโสบางสูตรสามารถช่วยดูแลผิวที่มี รูขุมขนกว้าง ผิวมัน และฝ้าได้ โดยช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน กระชับรูขุมขน และลดการผลิตเม็ดสี แต่ควรเลือกสูตรที่เหมาะกับปัญหา และทำอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับเมโส
เมโส เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการบำรุงผิวช่วยให้หน้ากระจ่างใสขึ้น แต่สิ่งที่ควรระวังเยในการเข้ารับบริการฉีดเมโสคือจะต้องทำกับแพทย์และคลินิกที่น่าเชื่อถือเท่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ