romrawin

12 วิธีรักษารอยแผลเป็น ลดความเสี่ยงการเกิดแผลเป็นถาวร เห็นผลชัดเจน

วิธีรักษารอยแผลเป็น

วิธีรักษารอยแผลเป็นเห็นผลชัดเจน รอยแดง รอยดำ ดูจางลง
วิธีรักษารอยแผลเป็น สามารถทำได้หลายวิธี แต่เราต้องเลือกวิธีที่เหมาะกับรอยแผลเป็นของผิวเรา เพื่อให้รอยดำ รอยแดง ดูจางลง
มีวิธีรักษารอยแผลเป็นแบบไหนบ้างบทความนี้มีคำตอบ และแนะนำวิธีรักษารอยแผลเป็นที่เหมาะกับผิวของเรามากที่สุด

รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับวิธีรักษารอยแผลเป็น
- รอยแผลเป็นเกิดจากอะไร
- รอยแผลเป็นมีกี่ชนิด
- วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการใช้ครีม
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทำเลเซอร์
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย ไอพีแอล
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Cryotherapy
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉายรังสี
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการลอกผิวจากกรดผลไม้
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Subcision
- วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยตัวเอง ให้แผลหายเร็วขึ้น
- Q and A ยอดฮิตของวิธีรักษารอยแผลเป็น
1.รอยแผลเป็นนานแล้วสามารถรักษาหายหรือไม่
2.ถ้าปวดรอยแผลเป็นควรทำอย่างไร
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับวิธีรักษารอยแผลเป็น

รอยแผลเป็นเกิดจากอะไร
ก่อนที่เราจะรู้วิธีรักษารอยแผลเป็น เรามาทำความรู้จักรอยแผลเป็นกันก่อน รอยแผลเป็น (Scar) คือ ร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากผิวหนังหรือเนื้อเยื่อของร่างกายได้รับการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลเล็กน้อยหรือการบาดเจ็บลึก เมื่อผิวถูกทำลาย ร่างกายจะรีบซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาแทนที่

กลไกการเกิดรอยแผลเป็น
1.ระยะการอักเสบ (Inflammation Phase)
เมื่อเกิดบาดแผล เส้นเลือดบริเวณนั้นจะหดตัวเพื่อหยุดเลือด และมีการส่งเม็ดเลือดขาวเข้ามากำจัดเชื้อโรคหรือตัวกระตุ้นการอักเสบ

2.ระยะการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ (Proliferation Phase)
ร่างกายจะสร้างเส้นใย คอลลาเจน (Collagen Fibers) เพื่อปิดช่องว่างและทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย โดยโครงสร้างคอลลาเจนใหม่นี้มักไม่เรียงตัวเป็นระเบียบเหมือนผิวเดิม

3.ระยะการปรับสภาพแผล (Remodeling Phase)
คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่จะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น แต่ยังคงแตกต่างจากผิวหนังปกติ จึงทิ้งร่องรอยที่เราเรียกว่า "รอยแผลเป็น"

สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นบ่อย
• อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บจากของมีคม เช่น มีดบาด หกล้มถลอก
• รอยแผลผ่าตัด ที่เกิดจากการรักษาทางการแพทย์
• แผลเป็นจากการปลูกฝีหรือฉีดวัคซีนบางชนิด
• แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือสารเคมี
• รอยสิวอักเสบ โดยเฉพาะสิวอักเสบรุนแรงที่กินลึกถึงชั้นผิวหนังแท้

ทำไมรอยแผลเป็นจึงแตกต่างกัน
ไม่ใช่ทุกแผลจะทิ้งร่องรอยเหมือนกัน ปัจจัยที่มีผลได้แก่

• ขนาดและความลึกของบาดแผล แผลที่ลึกหรือกว้างมักทิ้งรอยชัดเจนกว่า
• ตำแหน่งของแผล เช่น บริเวณหน้าอก ไหล่ หลัง หรือต้นแขน มักเกิดแผลเป็นนูนได้ง่าย
• อายุและพันธุกรรม คนอายุน้อยหรือผู้ที่มีพันธุกรรมเป็นคีลอยด์ จะเกิดแผลเป็นนูนได้มากกว่า
• การดูแลแผลตั้งแต่แรก หากแผลติดเชื้อหรือไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาจทำให้รอยแผลเป็นชัดขึ้น

รอยแผลเป็นมีกี่ชนิด
รอยแผลเป็นไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว แต่สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด ขึ้นอยู่กับสาเหตุและลักษณะการซ่อมแซมผิวของร่างกาย แต่ละชนิดมีความแตกต่างทั้งในด้านรูปร่าง สี และผลกระทบต่อผิวหนัง โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้ดังนี้

1.แผลเป็นทั่วไป (General Scar)
• มักเกิดจากแผลเล็กน้อยหรือการอักเสบ
• ลักษณะ ผิวบริเวณแผลจะมีสีเข้มกว่าผิวปกติในช่วงแรก อาจดูคล้ำหรือดำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีจะค่อย ๆ จางลง
• ผลกระทบ โดยมากไม่รุนแรง และมักหายไปเกือบหมดจนแทบมองไม่เห็น

2.แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar)
• เกิดจากร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไประหว่างการสมานแผล
• ลักษณะ รอยแผลเป็นนูนขึ้น สีแดงหรือชมพู แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตเดิมของแผล ไม่ลุกลามออกไปนอกขอบ
• ผลกระทบ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน แต่อาจค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป

3.แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid)
• เป็นรอยแผลที่เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากผิดปกติ
• ลักษณะ รอยนูนหนา สีแดงหรือคล้ำ และลุกลามขยายออกมานอกขอบเขตแผลเดิม
• ผลกระทบ มักมีขนาดใหญ่กว่าบาดแผลจริง และอาจส่งผลต่อความมั่นใจในรูปลักษณ์

4.แผลเป็นหลุม (Atrophic Scar)
• เกิดจากการที่ผิวหนังซ่อมแซมได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการยุบตัว
• ลักษณะ เป็นรอยบุ๋มลงไปจากผิวเดิม สีใกล้เคียงกับผิวปกติ
• ตัวอย่าง มักพบจากสิวอักเสบขนาดใหญ่ (เช่น สิวหัวช้าง) หรือโรคอีสุกอีใส
• ผลกระทบ ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน

5.แผลเป็นหดรั้ง (Contracture Scar)
• มักเกิดจากแผลไฟไหม้หรือการบาดเจ็บรุนแรงที่กินพื้นที่กว้าง
• ลักษณะ แผลเป็นหดรั้งจนดึงผิวหนังรอบ ๆ ทำให้ผิวและอวัยวะผิดรูป
• ผลกระทบ หากอยู่ใกล้ข้อต่ออาจทำให้เคลื่อนไหวลำบาก

6.รอยแตกลาย (Stretch Marks / Striae)
• เกิดจากการยืดหรือหดตัวของผิวหนังอย่างรวดเร็ว
• ลักษณะ เส้นยาวสีแดง ม่วง หรือขาว ขึ้นตามผิวหนัง เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือหน้าอก
• สาเหตุ พบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์ วัยรุ่นที่ร่างกายเจริญเติบโตเร็ว หรือคนที่น้ำหนักขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว

7.แผลเป็นจากการผ่าตัด (Surgical Scar)
• เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดทั้งเพื่อการรักษาและการศัลยกรรม
• ลักษณะ เป็นเส้นตามแนวเย็บ ซึ่งในระยะแรกอาจเห็นชัด แต่สามารถจางลงตามเวลา
• ผลกระทบ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและวิธีการเย็บแผล

8.แผลเป็นจากอุบัติเหตุ (Accident Scar)
• เกิดจากการบาดเจ็บ เช่น ถูกของมีคมบาด หกล้ม หรือแผลถลอกลึก
• ลักษณะ อาจมีรอยคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือผิวไม่เรียบหลังแผลหาย
• ผลกระทบ หากแผลลึกมาก มักทิ้งร่องรอยถาวรที่สังเกตได้ชัด

วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นเมื่อสิวอักเสบลุกลามลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ร่างกายซ่อมแซมไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดร่องรอยต่าง ๆ เช่น รอยแดง รอยดำ หลุมสิว หรือแผลเป็นนูน การรักษาจึงควรเลือกวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่เหมาะสมกับชนิดรอยแผลเป็นและสภาพผิวแต่ละคน

1.วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวเบื้องต้นที่บ้าน
เหมาะสำหรับรอยแดงหรือรอยดำตื้น ๆ

• วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยการ ใช้ครีมลดรอยสิวหรือเจลซิลิโคนที่มีสารออกฤทธิ์ เช่น อัลลันโทอิน วิตามินอี หรือสารสกัดใบบัวบก
• วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยการ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเพื่อป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้นจากรังสี UV
• วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยการนวดเบา ๆ บริเวณรอยสิว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนและเสริมการฟื้นฟูผิว

2.วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยหัตถการทางการแพทย์
เหมาะสำหรับรอยสิวที่ชัดเจน เช่น หลุมสิว แผลเป็นนูน หรือรอยที่จางเองได้ยาก

3.วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยการรักษาร่วมสมัย
• วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วย PRP (Platelet-Rich Plasma) ใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากตัวเองเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูผิว
• วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยการผสมผสาน เช่น เลเซอร์ร่วมกับ Subcision หรือ Microneedling ร่วมกับ PRP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

4.การดูแลหลังใช้วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว
ไม่ว่าวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิววิธีไหน สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น

• หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาสิว
• ปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวระคายเคืองเพิ่ม

วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวมีหลายรูปแบบ จึงไม่สามารถใช้วิธีเดียวได้กับทุกคน วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้ผลที่สุดคือการวิเคราะห์ชนิดรอยสิวและเลือกแนวทางที่เหมาะสมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นการดูแลที่บ้าน ร่วมกับหัตถการทางการแพทย์ เพื่อให้ผิวค่อย ๆ ฟื้นคืนความเรียบเนียนและสม่ำเสมอมากขึ้น

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการใช้ครีม
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีมถือเป็นหนึ่งในวิธีรักษารอยแผลเป็นที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาและร้านเวชสำอางทั่วไป วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีมนี้นี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยแผลเป็นระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยเฉพาะรอยที่เกิดจากสิว แผลถลอก หรือรอยผ่าตัดขนาดเล็ก ข้อดีของวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยการทาครีมคือใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ต้อง สม่ำเสมอและต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล

ส่วนประกอบสำคัญที่พบในวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีม
1.วิตามินอี (Vitamin E)
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอี ช่วยเสริมการซ่อมแซมผิว ลดการเกิดรอยแผลที่ดูแข็งหรือหนาเกินไป และช่วยให้รอยดูจางลงเมื่อใช้ต่อเนื่อง

2.วิตามินเอ และวิตามินบี 3 (Vitamin A, Vitamin B3)
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีมที่มีส่วนผสมของ วิตามินเอ ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างผิวใหม่
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีมที่มีส่วนผสม วิตามินบี 3 ช่วยลดการอักเสบและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

3.สารสกัดหัวหอม (Allium cepa extract)
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีมที่มีส่วนผสมของ สารสกัดหัวหอม มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ และช่วยให้เนื้อเยื่อแผลค่อย ๆ เรียบเนียนขึ้น

4.สารสกัดจากใบบัวบก (Centella asiatica: Asiatic acid, Madecassic acid, Asiaticoside)
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก มีบทบาทในการควบคุมการสร้างคอลลาเจน ลดโอกาสที่แผลจะนูนเกินไป และช่วยให้ผิวสมานมากขึ้น

5.มิวโคโพลีแซคคาไรด์ (Mucopolysaccharides หรือ MPS)
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีมที่มีส่วนผสมของมิวโคโพลีแซคคาไรด์ ส่งเสริมการไหลเวียนเลือดบริเวณรอยแผล ทำให้ผิวได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพียงพอ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการฟื้นฟู

ข้อควรรู้ในการใช้วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีม
• ควรทาบริเวณรอยแผลเป็น วันละ 2–3 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีม เหมาะสำหรับรอยแผลที่ไม่รุนแรงหรือเพิ่งเริ่มเป็นใหม่ ๆ
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีม ผลลัพธ์อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของแผล
• มักได้ผลดียิ่งขึ้นหากใช้ร่วมกับการรักษาอื่นที่แพทย์แนะนำ เช่น เลเซอร์หรือการฉีดสเตียรอยด์

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทำเลเซอร์
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทำเลเซอร์ เป็นหนึ่งในวิธีได้รับความนิยม เนื่องจากช่วยแก้ปัญหาผิวได้ทั้งรอยนูน รอยดำ รอยแดง หรือแม้แต่หลุมสิว

หลักการทำงานของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทำเลเซอร์
หลักการคือการใช้พลังงานแสงเลเซอร์ส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และปรับสมดุลของเนื้อเยื่อใต้ผิว วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทำเลเซอร์ช่วยให้ผิวค่อย ๆ เรียบเนียนขึ้น รอยแผลเป็นดูจางลง และสีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น

กลไกการทำงานของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทำเลเซอร์
• แสงเลเซอร์จะถูกส่งไปยังชั้นผิวในระดับที่แพทย์ปรับไว้เฉพาะเจาะจง
• พลังงานเลเซอร์ทำให้เนื้อเยื่อที่ผิดปกติค่อย ๆ สลายตัว
• พร้อมกันนั้นยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น

เลเซอร์ที่มักใช้ในการรักษารอยแผลเป็น
1.วิธีรักษารอยแผลเป็นเลเซอร์ Picoway
• ใช้เทคโนโลยี Picosecond ที่ปล่อยพลังงานสั้น
• จุดเด่นของ วิธีรักษารอยแผลเป็นเลเซอร์ Picoway คือการปล่อยพลังงานออกมาเป็นจุดเล็ก ๆ หลายจุดในพื้นที่เล็ก ทำให้กระจายพลังงานสม่ำเสมอ
• วิธีรักษารอยแผลเป็นเลเซอร์ Picoway เหมาะกับรอยแผลเป็นที่ต้องการการรักษาอย่างรวดเร็ว และช่วยปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอได้ด้วย

2.วิธีรักษารอยแผลเป็นเลเซอร์ Discovery Pico
• เป็นเลเซอร์ Picosecond เช่นเดียวกัน แต่เน้นการจัดการกับเม็ดสีได้ดีเป็นพิเศษ
• มักใช้รักษารอยดำจากสิว รอยแผลไฟไหม้ รอยแตกลาย และยังใช้ลบรอยสักได้
• วิธีรักษารอยแผลเป็นเลเซอร์ Discovery Pico เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยแผลเป็นร่วมกับปัญหาเม็ดสีผิว

3.วิธีรักษารอยแผลเป็นเลเซอร์ Q-Switch
• วิธีรักษารอยแผลเป็นเลเซอร์ Q-Switch เป็นเลเซอร์ที่ใช้กันมานาน จุดเด่นคือช่วยลบรอยดำและรอยแผลเป็นในระดับหนึ่ง
• พลังงานของเครื่องนี้น้อยกว่าเลเซอร์ตระกูล Pico จึงต้องทำหลายครั้งต่อเนื่องกว่าจะเห็นผล
• ข้อดีของ วิธีรักษารอยแผลเป็นเลเซอร์ Q-Switch คือมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่ต่ำกว่า

สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์
• จำนวนครั้งที่ต้องทำขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของรอยแผลเป็น
• หลังทำวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์ผิวอาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการปกติและจะค่อย ๆ ดีขึ้น
• ควรดูแลผิวตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น หลีกเลี่ยงแดดและทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด (Scar Revision Surgery) เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ที่มีรอยแผลเป็นชัดเจนและส่งผลต่อรูปลักษณ์หรือการใช้งานของอวัยวะ วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยวิธีนี้จะทำโดยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์โดยตรง

หลักการวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด
• ศัลยแพทย์จะกรีดนำเนื้อเยื่อแผลเก่าออก จากนั้นเย็บแผลใหม่ให้เนียนและเรียบกว่าเดิม
• จุดประสงค์หลักของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด คือการปรับตำแหน่งหรือรูปร่างของรอยแผล ให้ดูสวยงามและแนบเนียนเข้ากับผิวหนังบริเวณรอบข้างมากขึ้น
• ผลลัพธ์หลังวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้รอยแผลเป็นเดิมลดความชัดเจนลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหายไปทั้งหมด

ข้อจำกัดและสิ่งที่ควรพิจารณาในวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด เหมาะกับรอยแผลเป็นบางชนิดเท่านั้น เช่น รอยแผลเส้นตรง รอยแผลจากการผ่าตัด หรือแผลเป็นที่อยู่ในตำแหน่งสามารถกรีดใหม่ได้
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด ไม่เหมาะกับรอยแผลขนาดใหญ่หรือกินพื้นที่กว้าง เช่น แผลไฟไหม้รุนแรงที่มีการหดรั้งผิวมาก
• ทำได้ก็ต่อเมื่อแผลเป็นสมบูรณ์แล้ว หมายถึงแผลเก่าหายสนิทและเนื้อเยื่อแข็งแรง ไม่ใช่แผลที่เพิ่งเกิดใหม่
• มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีทั่วไป เนื่องจากต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทาง
• ทุกครั้งที่มีการผ่าตัด จะมีความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นใหม่แทนที่ของเดิม

การดูแลหลังใช้วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัด
• ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การทำแผล การหลีกเลี่ยงแรงกดหรือดึงรั้งบริเวณแผล
• ใช้ครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดตรงบริเวณรอยแผล เพื่อไม่ให้แผลเข้มขึ้น
• แพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีรักษารอยแผลเป็นอื่นร่วมด้วย เช่น แผ่นซิลิโคนกดทับ หรือการเลเซอร์เสริม เพื่อป้องกันแผลนูนและช่วยให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injection) เป็นหนึ่งในวิธีรักษารอยแผลเป็น สำหรับผู้ที่มีรอยแผลเป็นลักษณะเป็นหลุมหรือยุบตัวลงไปใต้ผิ ววิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยวิธีนี้จะช่วยทำให้พื้นผิวดูเรียบเนียนขึ้นทันทีหลังทำ โดยแพทย์จะใช้ สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ซึ่งเป็นสารที่ไม่อันตรายและสามารถสลายตัวได้เอง

หลักการทำงานในวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์
• ฟิลเลอร์ทำหน้าที่เติมเต็มบริเวณผิวที่ยุบตัวจากรอยแผลเป็น
• เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ผิวที่เป็นหลุมจะถูกยกขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับระดับผิวปกติ
• ผลลัพธ์ที่ได้คือรอยแผลเป็นดูตื้นขึ้น ทำให้ผิวหน้าโดยรวมดูเรียบและสม่ำเสมอมากขึ้น

ระยะเวลาของผลลัพธ์ของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์
• ฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิกแอซิดจะคงอยู่ได้ประมาณ 6–8 เดือน
• หลังจากนั้นร่างกายจะสลายสารนี้ไปเอง
• หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน ผู้รับการรักษาจำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำตามระยะเวลา

ข้อดีของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์
• เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ใช้เวลาทำไม่นาน และไม่ต้องพักฟื้นนาน
• สารที่ใช้สามารถสลายได้เอง จึงไม่ตกค้างในผิว

ข้อจำกัดที่ควรทราบของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดฟิลเลอร์
• ผลลัพธ์เป็นเพียงชั่วคราว ต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาสภาพผิว
• ไม่เหมาะกับรอยแผลเป็นชนิดนูนหรือคีลอยด์
• ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย ไอพีแอล
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย IPL (Intense Pulsed Light) เป็นวิธีที่ใช้พลังงานแสงในช่วงความยาวคลื่นกว้าง ตั้งแต่ประมาณ 420–1,200 นาโนเมตร ส่งลงไปยังผิวหนัง เพื่อช่วยปรับสภาพผิวและลดความผิดปกติที่เกิดจากรอยแผลเป็น

หลักการทำงานของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย IPL
• แสงจาก IPL จะถูกดูดซับโดยเม็ดสีและหลอดเลือดใต้ผิว จากนั้นเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน
• ความร้อนนี้ช่วยให้พังผืดที่ทำให้รอยแผลเป็นแข็งหรือชัดเจนค่อย ๆ คลายตัว
• กระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้ผิวเรียบขึ้นและสีของรอยแผลดูจางลง
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย IPL เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่มีสีแดง รอยดำ รอยสิวเก่า และช่วยให้โทนสีผิวดูสม่ำเสมอมากขึ้น

ข้อดีของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย IPL
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย IPL ช่วยลดรอยแดงและรอยดำได้ค่อนข้างดี
• มีผลเสริมในการฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวดูเรียบและกระจ่างใสขึ้น
• ไม่ต้องผ่าตัดและใช้เวลาไม่นานต่อครั้ง

ข้อจำกัดวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย IPL
• วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย IPL มักต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง จึงจะเห็นผลชัดเจน
• ระหว่างทำอาจรู้สึกเจ็บ แสบร้อน หรือมีผิวแดงชั่วคราว ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย
• เนื่องจากเครื่อง IPL ทำงานด้วยพลังงานความร้อน ผู้ป่วยที่มีผิวไวต่อแสงหรือผิวคล้ำง่ายควรปรึกษาแพทย์เป็นพิเศษ
• ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและชนิดของรอยแผลเป็น

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์ หรือที่เรียกว่า Intra-lesional Corticosteroid Injection เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็น ที่มักใช้กับรอยแผลเป็นชนิดนูนและคีลอยด์ ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไปจนผิวหนังแข็งและนูนขึ้น วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์ จะช่วยปรับสมดุลการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลเป็นค่อย ๆ แบนราบและนุ่มขึ้น

หลักการทำงานวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
• แพทย์จะฉีดสารสเตียรอยด์เข้าไปในก้อนแผลเป็นโดยตรง
• ตัวยาจะช่วยยับยั้งการสร้างคอลลาเจนส่วนเกิน และลดการอักเสบในเนื้อเยื่อ
• ส่งผลให้เนื้อแผลที่นูนแข็งค่อย ๆ นุ่มลง และมีลักษณะเรียบขึ้น

วิธีการรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
• การฉีดยาจะต้องทำโดยแพทย์ เพื่อให้ตัวยาถูกส่งไปในตำแหน่งที่เหมาะสม
• ปริมาณยาที่ใช้จะขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาของแผลเป็น
• โดยทั่วไปมักฉีดทุก 4 สัปดาห์ หรือประมาณเดือนละครั้ง และทำต่อเนื่องจนกว่าแผลเป็นจะราบลง

ข้อดีของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
• ช่วยลดความแข็งและความนูนของแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่ใช้เวลาสั้น ไม่ต้องพักฟื้นนาน
• เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่มักเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ ภายในไม่กี่ครั้ง

ข้อจำกัดในวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
• อาจทำให้ผิวรอบ ๆ บางลงหรือมีรอยด่างขาว หากใช้ยาในปริมาณสูงหรือติดต่อกันนานเกินไป
• ผลลัพธ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และบางกรณีอาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้
• ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ เนื่องจากหากฉีดผิดตำแหน่งอาจไม่เกิดผลหรือเกิดผลข้างเคียง

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Cryotherapy
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Cryotherapy คือการรักษารอยแผลเป็นด้วยความเย็นจัด โดยมากมักใช้ ไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) ที่มีอุณหภูมิต่ำมากจี้ลงไปบนรอยแผลเป็น วิธีรักษารอยแผลเป็นนี้ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อในบริเวณที่รักษาถูกทำลายชั่วคราว เกิดการแตกตัวของพังผืดและกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน

กลไกการทำงานวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Cryotherapy
• ความเย็นจัดทำให้เซลล์ผิวในรอยแผลเป็นแข็งตัวและแตกออก
• หลังจากนั้นร่างกายจะซ่อมแซมโดยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้แผลเป็นค่อย ๆ เล็กลง
• กระบวนการนี้เหมาะกับแผลเป็นชนิดนูนหรือคีลอยด์ที่มีการสร้างคอลลาเจนเกินปกติ

ข้อดีของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Cryotherapy
• สามารถช่วยลดความหนาและความนูนของแผลเป็นได้
• เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่ไม่ซับซ้อนและใช้เวลาไม่นานต่อครั้ง
• เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือทำหัตถการที่ยุ่งยาก

ข้อจำกัดของวิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Cryotherapy
• วิธีรักษารอยแผลเป็นนี้ใช้ได้ผลดีกับ แผลเป็นนูนและคีลอยด์ แต่ผลลัพธ์ต่อรอยแผลเป็นชนิดอื่นอาจไม่ชัดเจน
• หลังทำอาจเกิดรอยแดง ผิวบวม หรือมีตุ่มน้ำใส ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปเอง
• ในบางรายอาจเกิดรอยด่างขาวหรือผิวไม่สม่ำเสมอจากการที่เม็ดสีผิวถูกทำลาย
• จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉายรังสี
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการฉายรังสี (Radiation Therapy) เป็นการใช้พลังงานรังสีที่ปรับความเข้มให้เหมาะสมเพื่อช่วยลดการนูนของรอยแผลเป็น โดยเฉพาะคีลอยด์ จุดประสงค์หลักคือป้องกันไม่ให้แผลเป็นนูนมากขึ้น และช่วยให้รอยแผลค่อย ๆ ดูเรียบขึ้น แม้จะไม่สามารถทำให้หายไปทั้งหมด แต่ช่วยปรับลักษณะของแผลได้ระดับหนึ่ง

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการลอกผิวจากกรดผลไม้
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการลอกผิวด้วยกรดผลไม้ หรือ Chemical Peeling เป็นวิธีที่ใช้กรด AHA ในความเข้มข้นที่เหมาะสม เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนออก เหมาะกับรอยแผลเป็นตื้น ๆ หรือรอยสิวเล็กน้อย ทำให้ผิวดูเรียบและสีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น

การลอกผิวต้องทำโดยแพทย์ โดยจะพิจารณาความเข้มข้นและจำนวนครั้งให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน หากใช้กรดที่แรงเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือไวต่อแสงแดดมากขึ้นได้

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Subcision
วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วย Subcision คือเทคนิคการรักษาหลุมสิวหรือรอยแผลเป็นที่เป็นร่องลึก แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้ผิว เพื่อตัดพังผืดที่ดึงรั้งผิวเอาไว้ เมื่อพังผืดถูกตัดออก ผิวด้านบนจะค่อย ๆ เด้งขึ้น และร่างกายจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่มาซ่อมแซม ทำให้รอยแผลเป็นดูตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนมากขึ้น

วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยตัวเอง ให้แผลหายเร็วขึ้น
การดูแลแผลตั้งแต่แรกเริ่มมีส่วนช่วยลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้มาก ควรใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการทำความสะอาดไปจนถึงการฟื้นฟูผิว วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยตัวเองให้แผลหายเร็วขึ้น เช่น

• หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาแผล
• ใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันรอยคล้ำ
• หากแผลมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
• ใช้เจลทาแผลหรือแผ่นซิลิโคนตามคำแนะนำผู้เชี่ยวชาญ

การดูแลอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงการเกิดแผลเป็นถาวร

Q and A ยอดฮิตของวิธีรักษารอยแผลเป็น
1.รอยแผลเป็นนานแล้วสามารถรักษาหายหรือไม่ ?
รอยแผลเป็นเก่ามักไม่สามารถหายไปได้ทั้งหมด แต่สามารถทำให้จางลงหรือเรียบเนียนขึ้นด้วยวิธีรักษารอยแผลเป็นที่เหมาะสม เช่น เลเซอร์ ซับซิชัน หรือการใช้ครีมลดรอยแผลเป็น ขึ้นอยู่กับชนิดและความลึกของแผล

2.ถ้าปวดรอยแผลเป็นควรทำอย่างไร ?
หากมีอาการปวด ตึง หรือคันที่รอยแผลเป็น ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ แพทย์อาจพิจารณาวิธีรักษารอยแผลเป็นที่ลดอาการเจ็ฐปวดได้ เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ หรือวิธีอื่นที่ช่วยลดอาการและทำให้แผลนิ่มลง

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับวิธีรักษารอยแผลเป็น
วิธีรักษารอยแผลเป็น มีมากมายเราสามารถเลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับชนิดของแผลเป็นของเราได้เลย ไม่ว่าจะเริ่มจากการ วิธีรักษารอยแผลเป็นด้วยการทาครีม เลเซอร์ หรือผ่าตัด แต่หัวใจสำคัญหลักของการเลือกวิธีรักษารอยแผลเป็นคือ จะต้องเลือกที่คุณภาพก่อน ไม่ว่าจะเป็น หรือคลินิกที่เข้ารับบริการ คุณหมอที่คอยดูแลแผลของเรา จะต้องน่าเชื่อถือตรวจสอบได้ เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราได้ในระยะยาว

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ