13 วิธีลดรอยแผลเป็นให้ดูจางลง รักษาอย่างไรให้ผิวกลับมาเรียบเนียนใส
ลดรอยแผลเป็น
13 วิธีลดรอยแผลเป็นให้ดูจางลง รักษาอย่างไรให้ผิวกลับมาเรียบเนียน
13 วิธีลดรอยแผลเป็นให้จางลง ผิวกลับมาเรียบเนียนน่าสัมผัส
รอยแผลเป็นมักส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับหลายคน ไม่ว่ารอยแผลเป็นจะเกิดจากสิวอักเสบ อุบัติเหตุ หรือการผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน เกิดความไม่สม่ำเสมอของสีผิว และรู้สึกไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อรอยแผลเป็นอยู่ในจุดที่สังเกตเห็นได้ง่าย เช่น ใบหน้า แขน หรือขา ดังนั้นหลายคนจึงอยากรู้วิธีลดรอยแผลเป็น เพื่อให้รอยแผลเป็นค่อย ๆ จางลง ผิวกลับมาเรียบเนียน และเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้อีกครั้ง
ในบทความนี้ขอแนะนำวิธีลดรอยแผลเป็นให้จางลง ทั้งวิธีลดรอยแผลเป็นด้วยตัวเองและวิธีลดรอยแผลเป็นทางการแพทย์ พร้อมรู้ว่ารอยแผลเป็นเกิดจากอะไร มีกี่ประเภท นานแค่ไหนถึงหาย ครีมลดรอยแผลเป็นดีไหม
รอยแผลเป็นเกิดจากอะไร
รอยแผลเป็นเกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังเมื่อเกิดการบาดเจ็บ ซึ่งร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อปิดและสมานแผล กระบวนการนี้ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาทดแทนผิวหนังเดิม และทำให้บริเวณแผลมีลักษณะแตกต่างจากผิวรอบข้างจึงเกิดเป็นรอยแผลเป็น โดยสาเหตุของรอยแผลเป็นสามารถแบ่งตามลักษณะการบาดเจ็บหรือปัญหาผิวได้ดังนี้
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผลเป็น แผลเป็น (Scar) คืออะไร มีกี่ประเภท รักษาวิธีไหนดีให้หาย
1.รอยแผลเป็นเกิดจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บ
• เกิดจากบาดแผลที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น แผลจากการหกล้ม มีดบาด หรือการขีดข่วน
• หากแผลลึก มีการติดเชื้อ หรือไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม จะเพิ่มโอกาสเกิดรอยแผลเป็นชัดเจน
2.รอยแผลเป็นเกิดจากการผ่าตัด
• แผลผ่าตัดแม้จะถูกเย็บอย่างเรียบร้อย แต่กระบวนการสมานแผลของแต่ละคนแตกต่างกัน
• บางรายอาจเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีแรงดึงของผิวหนังสูง เช่น หน้าอก ไหล่
3.รอยแผลเป็นเกิดจากการเป็นสิว
• สิวอักเสบรุนแรงหรือสิวที่ถูกแกะเกาอาจทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลายลึก จนเกิดรอยหลุมสิวหรือรอยแดงรอยดำหลังสิว
• การกดสิวหรือรักษาสิวไม่ถูกวิธีเพิ่มโอกาสเกิดรอยแผลเป็นมากขึ้น
4.รอยแผลเป็นเกิดจากแผลไฟไหม้หรือความร้อน
• ความร้อนสูงหรือไฟไหม้ทำลายผิวหนังหลายชั้น ทำให้ร่างกายต้องสร้างคอลลาเจนจำนวนมาก
• ส่งผลให้เกิดแผลเป็นที่มักมีลักษณะหนา นูน และผิวแข็งกว่าปกติ
5.รอยแผลเป็นเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ
• โรคผิวหนังบางชนิด เช่น อีสุกอีใส หรือแผลจากการติดเชื้อเรื้อรัง
• การดูแลแผลไม่ถูกวิธี เช่น เกาสะเก็ดแผล ไม่ป้องกันแสงแดด หรือปล่อยให้แผลติดเชื้อ
จะเห็นได้ว่ารอยแผลเป็นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การผ่าตัด การเป็นสิว หรือแผลจากความร้อน ซึ่งกระบวนการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์หรือการสร้างคอลลาเจนที่ผิดปกติ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รอยแผลเป็นมีลักษณะแตกต่างกัน แต่การดูแลแผลตั้งแต่ระยะแรกและการป้องกันการอักเสบ จะช่วยลดรอยแผลเป็นได้
ประเภทของรอยแผลเป็น
ประเภทของรอยแผลเป็นสามารถแบ่งได้หลายแบบ ตามลักษณะการสมานแผลและการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและวิธีการลดรอยแผลเป็นที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.แผลเป็นนูน
• ลักษณะ รอยแผลเป็นที่นูนขึ้นจากผิวเดิม แต่ไม่ล้ำเกินขอบเขตของแผลเดิม
• สาเหตุ เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในระหว่างกระบวนการซ่อมแซมผิว
• ลักษณะเพิ่มเติม มักมีสีแดงหรือชมพู และอาจค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป
• ตำแหน่งที่พบบ่อย หน้าอก ไหล่ หลัง และบริเวณที่ผิวหนังมีการดึงรั้ง
2.คีลอยด์
• ลักษณะ แผลเป็นนูนที่ล้ำออกนอกขอบเขตแผลเดิม และมักมีลักษณะหนา แข็ง
• สาเหตุ การสร้างคอลลาเจนผิดปกติและมากเกินไป โดยมีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมด้วย
• ลักษณะเพิ่มเติม อาจมีอาการคัน เจ็บ หรือระคายเคือง และไม่หดตัวลงเอง
• ตำแหน่งที่พบบ่อย ใบหู หลัง ไหล่ หน้าอก
3.แผลเป็นหลุม
• ลักษณะ ผิวบริเวณแผลเป็นยุบตัวลงต่ำกว่าระดับผิวรอบข้าง
• สาเหตุ เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนหรือเนื้อเยื่อผิวหนังในระหว่างการสมานแผล
• ตัวอย่างที่พบบ่อย รอยหลุมสิว รอยแผลจากโรคอีสุกอีใส
• ลักษณะเพิ่มเติม มักเป็นรอยหลุมตื้นหรือหลุมลึก ลักษณะแตกต่างกัน เช่น ice pick, rolling, boxcar
4.แผลเป็นยืดหรือรอยแตกลาย
• ลักษณะ รอยเส้นหรือรอยแตกลายสีชมพู ม่วง หรือขาว เกิดจากการยืดขยายของผิวหนังเร็วเกินไป
• สาเหตุ การตั้งครรภ์ การเพิ่มหรือลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว การเจริญเติบโตในวัยรุ่น
• ลักษณะเพิ่มเติม แม้ไม่ใช่แผลจากบาดเจ็บโดยตรง แต่ถือเป็นรอยแผลเป็นชนิดหนึ่งเพราะเกิดจากการฉีกขาดของเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน
5.แผลเป็นสีผิดปกติ
• ลักษณะ รอยแผลเป็นที่มีสีเข้มขึ้น หรือ สีจางกว่าผิวปกติ
• สาเหตุ การอักเสบหรือการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวในระหว่างการสมานแผล
• ตัวอย่างที่พบบ่อย รอยแดงรอยดำหลังสิว
รอยแผลเป็นมีหลายประเภท ตั้งแต่แผลเป็นนูน คีลอยด์ ไปจนถึงแผลเป็นหลุมและรอยสีผิดปกติ ซึ่งแต่ละชนิดมีปัจจัยเกิดและลักษณะแตกต่างกัน การเลือกวิธีลดรอยแผลเป็นควรพิจารณาตามประเภทของแผลเป็น เช่น เลเซอร์ลดรอยแผลเป็น การฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น หรือการทำ Microneedling ลดรอยแผลเป็น เพื่อให้ผลลัพธ์ดีและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ข้อดีของการลดรอยแผลเป็น
การลดรอยแผลเป็นไม่เพียงช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนสวยงามขึ้น แต่ยังมีผลดีต่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยสามารถสรุปข้อดีหลัก ๆ ได้ดังนี้
1.การลดรอยแผลเป็นช่วยเพิ่มความมั่นใจในรูปลักษณ์
• ผิวดูเรียบเนียนขึ้น เมื่อรอยแผลเป็นจางลงหรือเรียบขึ้น ผิวโดยรวมจะดูสม่ำเสมอและสุขภาพดี
• ลดความกังวลเรื่องภาพลักษณ์ ผู้ที่มีรอยแผลเป็นเด่นชัดบนใบหน้าหรือร่างกาย เช่น รอยสิว รอยผ่าตัด จะรู้สึกมั่นใจเมื่อต้องพบปะผู้คนมากขึ้น
• ช่วยให้เลือกเสื้อผ้าได้ง่ายขึ้น สำหรับรอยแผลเป็นบริเวณแขน ขา หรือหน้าอก การลดรอยทำให้กล้าใส่เสื้อผ้าเปิดเผยผิว
2.การลดรอยแผลเป็นช่วยปรับปรุงสุขภาพผิวและการทำงานของผิวหนัง
• ลดการตึงรั้งของผิว ในกรณีแผลเป็นหนา นูน หรือรอยแผลจากการผ่าตัด การรักษาช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ลดอาการตึงดึง
• เพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณแผล ขั้นตอนลดรอยแผลเป็นบางประเภท เช่น Microneedling หรือเลเซอร์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการซ่อมแซมผิว
• ส่งเสริมการผลัดเซลล์ผิว การรักษาช่วยให้ผิวเกิดการผลัดเซลล์เก่า ทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียน
3.การลดรอยแผลเป็นช่วยลดอาการไม่สบายจากแผลเป็น
• บรรเทาอาการคันหรือระคายเคือง รอยแผลเป็นบางประเภท เช่น คีลอยด์ หรือแผลเป็นนูน มักมีอาการคันหรือเจ็บ การรักษาช่วยลดอาการเหล่านี้
• ป้องกันการหนาตัวของพังผืด การดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดการก่อตัวของพังผืดที่อาจรบกวนการเคลื่อนไหว
4.การลดรอยแผลเป็นช่วยส่งผลดีต่อจิตใจและคุณภาพชีวิต
• ลดความเครียดและความกังวล การมีรอยแผลเป็นเด่นชัดอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจ การรักษาช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
• สร้างความมั่นใจในสังคมและการทำงาน ผิวที่ดูดีขึ้นช่วยให้รู้สึกมั่นใจในการเข้าสังคมหรือการทำงานที่ต้องพบเจอผู้คน
5.การลดรอยแผลเป็นช่วยเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงในระยะยาว
• การลดรอยแผลเป็นทำให้พื้นผิวผิวหนังเรียบเนียนขึ้น ส่งผลให้ครีมบำรุงหรือเซรั่มต่าง ๆ ซึมซาบได้ดี และการบำรุงดูแลผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การลดรอยแผลเป็นไม่ใช่เพียงเพื่อความสวยงาม แต่ช่วยทั้งในด้านปรับสภาพผิว สุขภาพ และสภาพจิตใจ โดยการลดรอยแผลเป็นที่เหมาะสมจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนะนำวิธีลดรอยแผลเป็นให้จางลง ผิวเรียบเนียน
วิธีลดรอยแผลเป็นด้วยตัวเอง
1.ดูแลแผลตั้งแต่ระยะแรกของการสมาน
การเริ่มดูแลทันทีหลังแผลปิดสนิทเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะกำหนดว่ารอยแผลเป็นจะเด่นชัดหรือไม่
• ล้างแผลให้สะอาดอยู่เสมอ ใช้น้ำเกลือหรือน้ำสะอาดล้างแผลเบา ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุให้รอยแผลเป็นเข้มและนูนมากขึ้น
• รักษาความชุ่มชื้นของแผล ใช้ครีมปิดแผลหรือแผ่นปิดแผลที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้น จะช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้นและลดการเกิดสะเก็ดหนา
• หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาสะเก็ดแผล เพราะอาจทำให้ผิวหนังถูกทำลายลึกขึ้น ส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นลึกและนูน
2.ใช้ซิลิโคนเจลหรือแผ่นซิลิโคน
ซิลิโคนเจลหรือแผ่นซิลิโคนเป็นวิธีที่แพทย์ผิวหนังทั่วโลกแนะนำว่าได้ผลชัดเจนในการลดรอยแผลเป็น
• คุณสมบัติ ช่วยคงความชุ่มชื้น ลดการสร้างคอลลาเจนเกินปกติ และลดความนูนของแผล
• วิธีใช้ ทาซิลิโคนเจลบาง ๆ หรือใช้แผ่นซิลิโคนปิดรอยแผลวันละหลายชั่วโมงต่อเนื่อง 8-12 สัปดาห์ขึ้นไป
• ผลลัพธ์ แผลจะนุ่มขึ้น สีจางลง และแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์มีแนวโน้มราบเรียบลง
3.นวดแผลลดรอยแผลเป็น
การนวดช่วยให้เส้นใยคอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ลดความแข็งและการดึงรั้งผิว
• วิธีทำ ใช้นิ้วมือสะอาดนวดคลึงเบา ๆ รอบรอยแผลเป็น วันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 3-5 นาที
• ช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรเริ่มนวดเมื่อแผลปิดสนิทแล้วและไม่มีอาการอักเสบ
4.ทาครีมลดรอยแผลเป็น
ครีมหรือเจลลดรอยแผลเป็นมีส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและปรับโครงสร้างคอลลาเจน เช่น
• วิตามินอีและวิตามินซี ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและลดรอยหมองคล้ำ
• สารสกัดหัวหอม (Onion Extract) ลดการอักเสบและกระตุ้นให้รอยแผลเป็นเรียบขึ้น
• กรดผลไม้ (AHA, BHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดรอยดำรอยแดงให้สีผิวสม่ำเสมอ
• วิธีใช้ ควรทาเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นผลชัดเจน
5.ป้องกันรอยแผลเป็นจากแสงแดด
รังสี UV เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้รอยแผลเป็นเข้มขึ้นและรักษายาก
• ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งก่อนออกแดด แม้ในวันที่ไม่มีแดดจัด
• สวมเสื้อผ้าปกป้องผิว โดยเฉพาะบริเวณที่มีรอยแผลเป็น เช่น ใบหน้า แขน หรือขา
6.ดูแลสุขภาพผิวช่วยลดรอยแผลเป็น
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและช่วยให้แผลฟื้นตัวเร็วขึ้น
• รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและวิตามินซี เช่น เนื้อปลา ไข่ ผลไม้รสเปรี้ยว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• พักผ่อนเพียงพอ ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูผิวได้เต็มที่
วิธีลดรอยแผลเป็นด้วยหัตถการ
7.การเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น
การใช้เลเซอร์ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด เนื่องจากสามารถปรับสภาพผิวและลดรอยแผลเป็นได้หลากหลายประเภท
ประเภทของเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น
• Fractional CO2 Laser / Erbium Laser ยิงเลเซอร์เป็นจุดเล็ก ๆ ลงไปในผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผลัดเซลล์ผิว ลดรอยหลุมสิว รอยบุ๋ม และทำให้ผิวเรียบขึ้น
• Pulsed Dye Laser (PDL) เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่มีรอยแดงหรือเกิดจากเส้นเลือดฝอย ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
• Nd:YAG Laser ใช้ลดรอยแดงและรอยดำที่เกิดหลังจากการอักเสบ
ข้อดีของเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น
• สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 2-3 ครั้ง
• ช่วยให้ผิวโดยรวมดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น
ข้อควรระวังของเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น
• อาจเกิดอาการระคายเคืองหรือผิวลอกในช่วงแรก
• ต้องทำซ้ำหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพรอยแผลเป็น
8.การฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น
การฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นนูนและรอยแผลเป็นคีลอยด์ให้จางลง
กลไกการทำงานการฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น
• ตัวยาสเตียรอยด์จะช่วยยับยั้งการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไป ลดการหนาตัวของพังผืด และลดอาการคันหรือเจ็บบริเวณแผลเป็น
ผลลัพธ์ที่คาดหวังของการฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น
• แผลนูนค่อย ๆ แบนราบลง
• ลดอาการเจ็บและคัน
ข้อดีของการฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น
• วิธีการทำค่อนข้างรวดเร็วและไม่ต้องพักฟื้นนาน
• เห็นผลในช่วงไม่กี่สัปดาห์
ข้อจำกัดของการฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น
• อาจต้องฉีดซ้ำทุก 4-6 สัปดาห์
• หากฉีดปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ผิวหนังบางลงหรือเกิดรอยบุ๋มได้
9.Microneedling ลดรอยแผลเป็น
Microneedling ลดรอยแผลเป็น เป็นเทคนิคที่ใช้เข็มขนาดเล็กเจาะลงในผิว เพื่อกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูตามธรรมชาติ
กลไกการทำงานของ Microneedling ลดรอยแผลเป็น
• การเจาะเล็ก ๆ จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
• ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดรอยหลุมสิวและรอยบุ๋มตื้น ๆ
ข้อดีของ Microneedling ลดรอยแผลเป็น
• ระคายเคืองผิวน้อยเมื่อเทียบกับเลเซอร์
• ระยะพักฟื้นสั้น มักเพียง 1-2 วัน
ข้อควรระวังของ Microneedling ลดรอยแผลเป็น
• อาจมีรอยแดงและบวมเล็กน้อยหลังทำ
• ควรทำโดยแพทย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
10.การผ่าตัดแก้ไขลดรอยแผลเป็น
การผ่าตัดแก้ไขลดรอยแผลเป็นเป็นวิธีที่เหมาะกับรอยแผลเป็นที่มีขนาดใหญ่หรือผิดรูปจนรบกวนการใช้ชีวิต
วิธีการผ่าตัดแก้ไขลดรอยแผลเป็น
• แพทย์จะตัดรอยแผลเป็นเดิมออก แล้วเย็บปิดใหม่ด้วยเทคนิคที่ช่วยให้รอยใหม่เล็กและเรียบขึ้น
• อาจใช้ร่วมกับเลเซอร์หรือการฉีดสเตียรอยด์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
ข้อดีของการผ่าตัดแก้ไขลดรอยแผลเป็น
• ลดขนาดและความเด่นชัดของรอยแผลเป็นได้มาก
• เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดเก่าหรืออุบัติเหตุ
ข้อควรระวังของการผ่าตัดแก้ไขลดรอยแผลเป็น
• มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นซ้ำหากดูแลไม่ดี
• ต้องใช้เวลาพักฟื้นตามคำแนะนำของแพทย์
11.การฉีดฟิลเลอร์ลดรอยแผลเป็น
การฉีดฟิลเลอร์ลดรอยแผลเป็นเหมาะสำหรับรอยแผลเป็นชนิดบุ๋มหรือหลุมลึก เช่น หลุมสิว
วิธีการฉีดฟิลเลอร์ลดรอยแผลเป็น
• ใช้สารเติมเต็ม (เช่น Hyaluronic Acid) ฉีดลงไปในรอยบุ๋มเพื่อยกผิวให้เรียบขึ้น
ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ลดรอยแผลเป็น
• ให้ผลลัพธ์ทันทีหลังทำ
• ผิวดูเรียบเนียนและมีความตึงกระชับขึ้น
ข้อจำกัดการฉีดฟิลเลอร์ลดรอยแผลเป็น
• ผลลัพธ์เป็นเพียงชั่วคราว ต้องฉีดซ้ำทุก 6-12 เดือน
• ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดก้อนหรือรอยบุ๋มไม่สม่ำเสมอ
12.การลอกผิวลดรอยแผลเป็นด้วยสารเคมี
การใช้สารเคมี เช่น AHA, BHA เพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่า ช่วยลดรอยแผลเป็นตามไปด้วย
กลไกการทำงานการลอกผิวลดรอยแผลเป็นด้วยสารเคมี
• กรดจะช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบน กระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่
• ช่วยลดรอยดำ รอยแดง และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ข้อดีของการลอกผิวลดรอยแผลเป็นด้วยสารเคมี
• เหมาะกับรอยแผลเป็นตื้นหรือรอยสิวหลังอักเสบ
• ระยะพักฟื้นไม่นาน
ข้อควรระวังของการลอกผิวลดรอยแผลเป็นด้วยสารเคมี
• ควรทำโดยแพทย์เท่านั้นเพื่อป้องกันผิวไหม้หรือระคายเคือง
• หลังทำต้องป้องกันแสงแดดอย่างเข้มงวด
13.การทำ Subcision ลดรอยแผลเป็น
การทำ Subcision ลดรอยแผลเป็น คือเทคนิคการใช้เข็มพิเศษตัดพังผืดใต้รอยหลุมสิวหรือรอยแผลเป็นบุ๋ม
กลไกการทำงานการทำ Subcision ลดรอยแผลเป็น
• ตัดพังผืดที่ดึงรั้งผิวให้บุ๋มลง
• กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้น
ข้อดีของการทำ Subcision ลดรอยแผลเป็น
• ช่วยลดรอยหลุมสิวได้ดีเมื่อทำร่วมกับเลเซอร์หรือฟิลเลอร์
• ไม่ต้องพักฟื้นนาน
ข้อควรระวังของการทำ Subcision ลดรอยแผลเป็น
• อาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อยหลังทำ
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น
การป้องกันรอยแผลเป็นตั้งแต่ระยะแรกของการเกิดแผลมีความสำคัญมาก เพราะช่วยลดโอกาสที่ผิวจะเกิดรอยนูน รอยบุ๋ม หรือรอยสีผิดปกติ การดูแลแผลอย่างถูกวิธีตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้รวดเร็ว เรียบเนียน และง่ายต่อการลดรอยแผลเป็น สำหรับวิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น มีดังนี้
1.ดูแลบาดแผลตั้งแต่ระยะแรก
• ล้างแผลอย่างอ่อนโยน ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ ช่วยทำความสะอาดโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อใหม่ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่แรงเกินไป เช่น แอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง
• ปิดแผลให้ชุ่มชื้น ใช้ผ้าก๊อซหรือแผ่นปิดแผลที่ช่วยกักเก็บความชื้น ช่วยให้แผลสมานเร็ว ลดการเกิดสะเก็ดหนา และลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็น
• หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาสะเก็ด เพราะการแกะจะทำให้ผิวหนังชั้นในเสียหายลึกขึ้น ส่งผลให้รอยแผลเป็นเข้มและลึกกว่าเดิม
2.ควบคุมการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ
• ใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง ในกรณีแผลเสี่ยงติดเชื้อ
• ทำความสะอาดแผลทุกวัน และหากมีอาการบวมแดงหรือมีหนอง ควรรีบพบแพทย์ทันที
3.รักษาความชุ่มชื้นของผิว
• ใช้ปิโตรเลียมเจลลี่หรือครีมบำรุงผิว หลังแผลปิดสนิท เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและลดการเกิดรอยแผลเป็นหนา
• ทาซิลิโคนเจลหรือแผ่นซิลิโคน ต่อเนื่อง 8-12 สัปดาห์หลังแผลปิดสนิท ช่วยป้องกันแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์
4.ป้องกันรอยแผลเป็นจากแสงแดด
• ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งก่อนออกแดด แม้ในวันที่มีเมฆมาก
• สวมเสื้อผ้าหรือใช้ผ้าคลุม ปกปิดผิวบริเวณที่มีแผล เพื่อลดการกระตุ้นเม็ดสีเมลานินซึ่งทำให้รอยแผลเป็นเข้มขึ้น
5.การดูแลแผลจากสิว
• อย่าบีบหรือแกะสิว เพราะจะทำให้ผิวเสียหายลึกขึ้น เกิดรอยบุ๋มหรือรอยดำได้ง่าย
• ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เหมาะสม เช่น ยากลุ่มเรตินอยด์หรือยาลดการอักเสบ
• พบแพทย์ผิวหนัง หากเป็นสิวอักเสบรุนแรงหรือเรื้อรัง เพื่อป้องกันรอยหลุมสิวในระยะยาว
6.การดูแลหลังผ่าตัดหรือบาดเจ็บ
• นวดแผลตามคำแนะนำแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดและแผลเป็นนูน
• ใช้แผ่นซิลิโคนหรือซิลิโคนเจล หลังแผลปิดสนิท เพื่อป้องกันคีลอยด์
• ติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ หากแผลมีการอักเสบหรือผิดปกติควรรีบพบแพทย์
7.การรับประทานอาหารและดูแลสุขภาพ
• รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ปลา ไข่ ถั่ว เพื่อช่วยสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมผิว
• เพิ่มวิตามินซีและสังกะสี จากผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง ผักใบเขียว เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและการสมานแผล
• พักผ่อนเพียงพอ วันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูเซลล์ผิวได้เต็มที่
8.ป้องกันสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดคีลอยด์
• ปรึกษาแพทย์ก่อนการผ่าตัดหรือหัตถการ เพื่อวางแผนป้องกันการเกิดคีลอยด์
• พิจารณาการใช้แผ่นซิลิโคนหรือฉีดสเตียรอยด์หลังผ่าตัด ตามคำแนะนำแพทย์
• หลีกเลี่ยงการเจาะหูหรือสักผิวหนัง หากมีประวัติคีลอยด์
การเตรียมตัวก่อนลดรอยแผลเป็น
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาลดรอยแผลเป็นด้วยวิธีทางการแพทย์ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง และทำให้ร่างกายพร้อมต่อการฟื้นฟูผิว อีกทั้งการเตรียมตัวที่ถูกต้องยังช่วยให้แพทย์ประเมินปัญหาได้แม่นยำ และสามารถเลือกวิธีลดรอยแผลเป็นที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน
1.ปรึกษาแพทย์ก่อนลดรอยแผลเป็น
• ตรวจประเมินรอยแผลเป็น ให้แพทย์ประเมินประเภทของรอยแผลเป็น เช่น รอยนูน คีลอยด์ รอยบุ๋ม หรือรอยสีผิดปกติ เพื่อเลือกเทคนิคที่เหมาะสม เช่น เลเซอร์ ฉีดสเตียรอยด์ หรือ Microneedling
• ซักประวัติสุขภาพ แจ้งข้อมูลเรื่องโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคผิวหนัง รวมถึงการแพ้ยา เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาได้ปลอดภัย
• ตรวจสอบการใช้ยา หากใช้ยาลดการแข็งตัวของเลือด (เช่น แอสไพริน) หรือยาที่มีผลต่อการหายของแผล ควรแจ้งแพทย์ก่อนการรักษา
2.เตรียมสภาพผิวให้พร้อมก่อนลดรอยแผลเป็น
• ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น ทาครีมบำรุงหรือมอยส์เจอไรเซอร์สม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวแข็งแรงและสมานตัวได้ดี
• หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ก่อนเข้ารับการรักษา 1-2 สัปดาห์ ควรป้องกันแสงแดดอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันผิวไหม้หรือการสร้างเม็ดสีเกิน
• หยุดใช้สกินแคร์ที่มีสารผลัดเซลล์แรง เช่น กรด AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
3.ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตก่อนลดรอยแผลเป็น
• พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ผิวได้เต็มที่
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวมีความยืดหยุ่นและพร้อมต่อการรักษา
• รับประทานอาหารที่มีโปรตีน วิตามินซี และสังกะสีสูง เช่น ปลา ไข่ นม ผลไม้รสเปรี้ยว และผักใบเขียว เพื่อเสริมการสร้างคอลลาเจนและการสมานแผล
4.เตรียมใจและเวลาในการรักษาก่อนลดรอยแผลเป็น
• ทำความเข้าใจกับระยะเวลาการรักษา การลดรอยแผลเป็นมักต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง เช่น การเลเซอร์หรือ Microneedling อาจใช้เวลา 3-6 ครั้งจึงเห็นผล
• คาดการณ์ค่าใช้จ่าย เนื่องจากแต่ละวิธีมีราคาต่างกัน ควรสอบถามรายละเอียดและวางแผนงบประมาณ
• จัดเวลาให้เหมาะสม บางหัตถการอาจต้องใช้เวลาพักฟื้น 1-2 วัน หรือมากกว่านั้น ควรเตรียมวันหยุดหรือเวลาว่างให้พร้อม
5.การปฏิบัติก่อนวันทำหัตถการลดรอยแผลเป็น
• หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในวันที่ทำการรักษา เพื่อให้ผิวสะอาดและลดการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
• งดการออกกำลังกายหนักก่อนทำ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการไหลเวียนเลือดที่มากเกินไปซึ่งอาจทำให้แผลฟกช้ำง่าย
• เตรียมอุปกรณ์ดูแลผิวหลังทำ เช่น ครีมบำรุง ครีมกันแดด หรือยาที่แพทย์สั่ง เพื่อใช้ต่อเนื่องหลังหัตถการ
6.ปรึกษาเรื่องการแพ้หรือปัญหาผิวก่อนลดรอยแผลเป็น
• หากมีประวัติการแพ้ยาชา ควรแจ้งแพทย์ก่อนการทำหัตถการลดรอยแผลเป็น
• ในกรณีที่มีโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น ผื่นแพ้ ผิวอักเสบ ควรรักษาให้ผิวแข็งแรงก่อนเข้ารับการรักษา
การดูแลตัวเองหลังลดรอยแผลเป็น
หลังจากเข้ารับการรักษาลดรอยแผลเป็น ไม่ว่าจะเป็นการทำเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น หรือหัตถการทางการแพทย์อื่น ๆ การดูแลตัวเองหลังการรักษาถือเป็นขั้นตอนสำคัญไม่แพ้การเตรียมตัวก่อนทำ เพราะช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนาน ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง และช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ในเวลาไม่นาน การดูแลหลังทำที่ถูกต้องยังช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นซ้ำ และทำให้ผิวดูเรียบเนียนสม่ำเสมออีกด้วย
1.รักษาความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนหลังลดรอยแผลเป็น
• ล้างหน้าหรือทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ เพื่อลดการระคายเคืองผิวบริเวณที่ทำหัตถการ
• หลีกเลี่ยงการขัดหรือสครับผิว ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพราะผิวอยู่ในช่วงบอบบางและกำลังฟื้นฟู
• ซับผิวเบา ๆ ด้วยผ้าสะอาด หลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดแผลใหม่
2.บำรุงและรักษาความชุ่มชื้นของผิวหลังลดรอยแผลเป็น
• ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่แพทย์แนะนำ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและลดการลอกเป็นขุย
• ทาปิโตรเลียมเจลลี่หรือครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เพื่อช่วยสมานแผล ลดรอยแผลเป็นที่อาจเกิดซ้ำ
• เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลไม้ (AHA, BHA), Retinol หรือสารผลัดเซลล์ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังทำ
3.ป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัดหลังลดรอยแผลเป็น
• ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป ทุกเช้าและทาซ้ำระหว่างวัน โดยเฉพาะบริเวณที่ผ่านการรักษา
• สวมหมวก เสื้อแขนยาว หรือใช้ร่ม หากต้องอยู่กลางแดด เพื่อป้องกันรังสี UV ที่อาจกระตุ้นให้รอยแผลเป็นเข้มขึ้นหรือเกิดรอยดำ
4.หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะเกาหลังลดรอยแผลเป็น
• อย่าขัด ถู หรือแกะสะเก็ดที่เกิดขึ้นหลังทำ เพราะอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นใหม่หรือทำให้รอยแผลเป็นหนักกว่าเดิม
• ระมัดระวังการใช้เครื่องสำอางหรือแปรงแต่งหน้า ในช่วงสัปดาห์แรก เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคและการระคายเคือง
5.ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังลดรอยแผลเป็น
• ใช้ยาหรือครีมตามที่แพทย์สั่ง เช่น ยาปฏิชีวนะ ครีมลดการอักเสบ หรือซิลิโคนเจลตามระยะเวลาที่กำหนด
• เข้ารับการติดตามผลตามนัด เพื่อให้แพทย์ประเมินการฟื้นตัวและปรับแผนการรักษาหากจำเป็น
6.ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตหลังลดรอยแผลเป็น
• พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูผิวได้อย่างเต็มที่
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 6-8 แก้ว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวจากภายใน
• รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินซี และสังกะสี เช่น เนื้อปลา ไข่ ผลไม้รสเปรี้ยว และผักใบเขียว เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและสมานแผล
7.ระมัดระวังการออกกำลังกายและกิจกรรมบางอย่างหลังลดรอยแผลเป็น
• งดการออกกำลังกายหนัก 1-2 วันแรก เพื่อป้องกันเลือดออกหรือฟกช้ำบริเวณที่ทำหัตถการ
• หลีกเลี่ยงซาวน่า ห้องอบไอน้ำ หรือการแช่น้ำร้อน ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดโอกาสเกิดการอักเสบ
8.ติดตามผลการรักษาและวางแผนการดูแลต่อเนื่องหลังลดรอยแผลเป็น
• สอบถามแพทย์เกี่ยวกับการรักษาเสริม เช่น การใช้ซิลิโคนเจลหรือครีมลดรอยแผลเป็นเพิ่มเติม
• วางแผนการทำหัตถการต่อเนื่อง เช่น การเลเซอร์รอบถัดไป หากรอยแผลเป็นยังไม่จางลงตามคาด
ข้อควรระวังในการลดรอยแผลเป็น
การลดรอยแผลเป็นไม่ว่าจะด้วยวิธีธรรมชาติ การใช้ครีมลดรอยแผลเป็น หรือหัตถการทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ Microneedling การฉีดสเตียรอยด์ หรือการผ่าตัดแก้ไข ล้วนมีข้อควรระวังที่ต้องใส่ใจ การเข้าใจข้อควรระวังเหล่านี้จะช่วยให้ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง และทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนาน ซึ่งมีข้อควรระวังดังนี้
1.การลดรอยแผลเป็นควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการรักษา
• ประเมินประเภทของรอยแผลเป็น แผลเป็นนูน คีลอยด์ รอยบุ๋ม หรือรอยสีผิดปกติ มีวิธีรักษาที่แตกต่างกัน ควรให้แพทย์ประเมินเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม
• แจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคเลือดออกง่าย หรือการใช้ยาลดการแข็งตัวของเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือฟกช้ำ
• ตรวจสอบการแพ้ยา โดยเฉพาะหากมีประวัติแพ้ยาชา ยาปฏิชีวนะ หรือสารที่ใช้ในหัตถการ
2.การลดรอยแผลเป็นควรปฏิบัติตามขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างเคร่งครัด
• หลีกเลี่ยงการใช้สกินแคร์ผลัดเซลล์แรง ๆ เช่น AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำ เพื่อป้องกันผิวบางและระคายเคือง
• ป้องกันแสงแดดก่อนการรักษา หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด 1-2 สัปดาห์ เพราะผิวไหม้แดดจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังหัตถการ
• งดการแต่งหน้าหรือทาครีมหนาในวันที่ทำการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
3.การลดรอยแผลเป็นควรปฏิบัติตามคำแนะนำดูแลหลังทำหัตถการอย่างเคร่งครัด
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะเกา เพราะอาจทำให้เกิดแผลใหม่หรือรอยแผลเป็นซ้ำ
• ป้องกันแสงแดดอย่างเข้มงวด ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป และสวมหมวกหรือเสื้อผ้าปกป้องผิว
• ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ ใช้ยาหรือครีมที่แพทย์สั่งอย่างครบถ้วน และเข้ารับการตรวจติดตามผลตามนัด
4.การลดรอยแผลเป็นควรระวังผลข้างเคียงจากการทำหัตถการ
• เลเซอร์ลดรอยแผลเป็น อาจทำให้เกิดรอยแดง ผิวลอก หรือรอยดำชั่วคราว หากไม่ป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด
• Microneedling ลดรอยแผลเป็น อาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ในช่วงแรก
• ฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น หากฉีดมากเกินไปอาจทำให้ผิวบางหรือเกิดรอยบุ๋ม
• การผ่าตัดแก้ไขลดรอยแผลเป็น ต้องระวังการติดเชื้อและดูแลแผลตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันการเกิดรอยใหม่
5.การลดรอยแผลเป็นควรปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อผลลัพธ์ยาวนาน
• พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูผิว
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นและสมานแผลได้ดี
• รับประทานอาหารที่มีโปรตีน วิตามินซี และสังกะสี เพื่อเสริมสร้างคอลลาเจนช่วยให้แผลหายเร็ว
6.การลดรอยแผลเป็นควรระวังในผู้มีแนวโน้มเกิดคีลอยด์
• ปรึกษาแพทย์ล่วงหน้า หากเคยมีประวัติเป็นคีลอยด์ เพราะต้องวางแผนการป้องกัน เช่น การใช้ซิลิโคนเจลหรือการฉีดสเตียรอยด์หลังทำ
• หลีกเลี่ยงการสักหรือเจาะผิวหนัง ในบริเวณที่มีแนวโน้มเกิดคีลอยด์ได้ง่าย
ลดรอยแผลเป็นนานไหมถึงจางลง
ระยะเวลาที่รอยแผลเป็นจะจางลงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งประเภทของรอยแผลเป็น วิธีการลดรอยแผลเป็น และการดูแลตนเองหลังทำ โดยทั่วไปรอยแผลเป็นใหม่อาจใช้เวลา 6-12 เดือนจึงจางลงเอง ส่วนรอยแผลเป็นเก่าหรือรอยลึกอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้นหรืออาศัยหัตถการทางการแพทย์ การเริ่มดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ และปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงและเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากขึ้น
1.ระยะเวลาการจางของรอยแผลเป็นตามธรรมชาติ
หากไม่ได้รับการรักษาลดรอยแผลเป็นด้วยหัตถการ รอยแผลเป็นจะค่อย ๆ จางลงเองตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย
• รอยแผลเป็นใหม่ (อายุไม่เกิน 6 เดือน) มักมีสีชมพูหรือแดง ใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือนจึงจะค่อย ๆ จางลงเป็นสีใกล้เคียงผิว
• รอยแผลเป็นเก่า (อายุมากกว่า 1 ปี) มักมีสีขาวหรือซีด อาจใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวและจางลงเอง ซึ่งในบางกรณีอาจไม่จางลงอย่างสมบูรณ์
2.ระยะเวลาการจางของรอยแผลเป็นแต่ละประเภท
• ลดรอยแผลเป็นนูน อาจใช้เวลา 6-18 เดือนในการนุ่มลงและจางลง แม้จะไม่ได้รักษา แต่บางรายอาจคงอยู่ยาวนาน
• ลดรอยแผลเป็นคีลอยด์ มักไม่จางลงเอง ต้องใช้การรักษา เช่น การฉีดสเตียรอยด์หรือเลเซอร์ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนถึง 1 ปีขึ้นไป
• ลดรอยหลุมสิว มักไม่สามารถจางลงเอง ต้องใช้หัตถการ เช่น Microneedling หรือเลเซอร์ ใช้เวลาหลายเดือนและอาจต้องทำซ้ำ 3-6 ครั้ง
• ลดรอยดำหรือรอยแดงหลังสิว มักจางลงเองภายใน 3-6 เดือน หากมีการป้องกันแดดและดูแลผิวที่เหมาะสม
3.ระยะเวลาการจางเมื่อลดรอยแผลเป็นด้วยหัตถการ
หัตถการทางการแพทย์ช่วยลดรอยแผลเป็นจางลงเร็วขึ้น แต่ยังต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง
• เลเซอร์ลดรอยแผลเป็น เห็นผลประมาณ 1-3 เดือนหลังทำ และอาจต้องทำซ้ำ 3-6 ครั้งขึ้นอยู่กับความลึกของรอย
• Microneedling ลดรอยแผลเป็น มักเห็นผลหลังทำ 3-6 เดือน เพราะต้องรอให้คอลลาเจนใหม่สร้างเต็มที่
• ฉีดสเตียรอยด์ลดรอยแผลเป็น แผลเป็นนูนหรือคีลอยด์อาจนุ่มลงภายใน 4-6 สัปดาห์ แต่การจางของสีและความราบเรียบอาจต้องใช้เวลา 3-6 เดือน
• การผ่าตัดแก้ไขลดรอยแผลเป็น ต้องใช้เวลาประมาณ 3-12 เดือนเพื่อให้รอยแผลใหม่ปรับสีใกล้เคียงผิวรอบ ๆ
4.ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาในการจาง
• อายุของรอยแผลเป็น แผลใหม่มักตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่า
• ขนาดและความลึก รอยใหญ่และลึกมักใช้เวลานานกว่ารอยตื้น
• พันธุกรรมและสภาพผิว บางคนมีแนวโน้มเกิดคีลอยด์หรือแผลนูน ซึ่งรักษายากและใช้เวลานาน
• การดูแลหลังการรักษา การป้องกันแดด การใช้ครีมบำรุง และการปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ช่วยให้รอยจางเร็วขึ้น
ครีมลดรอยแผลเป็นได้ผลจริงไหม
ครีมลดรอยแผลเป็นสามารถช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลงได้ แต่ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของแผล ลักษณะรอย และการดูแลผิว ดังนี้
1.ประเภทของรอยแผลเป็นและการตอบสนองต่อครีม
• รอยแผลเป็นใหม่ (ภายใน 3-6 เดือน) ครีมมักเห็นผลได้ดีกว่า เพราะผิวยังอยู่ในระยะฟื้นฟู การใช้ครีมที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจะช่วยให้รอยนุ่มและสีจางลง
• รอยแผลเป็นเก่า (เกิน 1 ปี) ครีมอาจช่วยได้เพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะทำให้รอยดูนุ่มขึ้นแต่ไม่สามารถลบรอยได้หมด ต้องใช้วิธีอื่นร่วม เช่น เลเซอร์หรือฉีดฟิลเลอร์
• รอยแผลเป็นนูน (คีลอยด์) ครีมที่มีสารซิลิโคนเจลหรือสารยับยั้งการสร้างคอลลาเจนอาจช่วยให้นุ่มและลดอาการคัน แต่การยุบตัวอาจต้องพึ่งการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติม
2.ส่วนผสมในครีมลดรอยแผลเป็นที่มีหลักฐานสนับสนุน
• Silicone gel / Silicone sheet มีงานวิจัยรองรับว่าช่วยลดการนูน ป้องกันการเกิดรอยใหม่ และทำให้ผิวเรียบขึ้น
• Allium Cepa Extract (สารสกัดหัวหอม) ช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยจางลง
• Vitamin E ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
• Centella Asiatica (ใบบัวบก) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมผิว
• AHA / BHA ผลัดเซลล์ผิวให้รอยดำดูจางลง
3.เคล็ดลับการใช้ครีมลดรอยแผลเป็นให้ได้ผล
• ทาครีมวันละ 2 ครั้งขึ้นไป ตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์
• เริ่มใช้ทันทีที่แผลปิดสนิท ไม่มีน้ำเหลืองซึม
• ควรป้องกันแดดอย่างเคร่งครัด เพราะรอยแผลเป็นจะเข้มขึ้นเมื่อโดนแสง UV
• ใช้อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 2-3 เดือน จึงจะเห็นผลชัดเจน
4.ข้อจำกัดของครีมลดรอยแผลเป็น
• ครีมลดรอยแผลเป็นไม่สามารถลบแผลเป็นให้หายสนิทได้ โดยเฉพาะรอยนูนใหญ่หรือแผลเป็นเก่า
• หากเป็นรอยหลุมลึกหรือคีลอยด์ อาจต้องรักษาด้วยหัตถการ เช่น เลเซอร์, Microneedling, ฉีดสเตียรอยด์ หรือฟิลเลอร์
สรุปครีมลดรอยแผลเป็น ช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงและผิวเนียนนุ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ในระยะที่แผลเริ่มหายใหม่ ๆ และต้องใช้ต่อเนื่องหลายเดือน แต่หากเป็นแผลเป็นเก่า รอยลึก หรือคีลอยด์ อาจต้องพิจารณาการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติมเพื่อให้ผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น
สรุปเกี่ยวกับการลดรอยแผลเป็น
สรุปว่า การลดรอยแผลเป็นไม่เพียงช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียน แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น โดยการดูแลแผลอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่ม เช่น รักษาความสะอาด คงความชุ่มชื้น และป้องกันแสงแดด เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นที่เด่นชัด
แต่สำหรับรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นแล้ว การเลือกใช้ครีมลดรอยแผลเป็นหรือหัตถการลดรอยแผลเป็น ที่เหมาะสมตามประเภทของรอย ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ Microneedling หรือการฉีดสเตียรอยด์ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและเห็นผลได้ดี เมื่อผสานกับการดูแลสุขภาพผิวและร่างกายอย่างต่อเนื่อง จะทำให้รอยแผลเป็นค่อย ๆ จางลง และผิวกลับมาดูเรียบเนียนสวยงามได้ในระยะยาว
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ