romrawin

10 วิธีรักษาแผลสิว ลดรอยดำรอยแดงให้จางลง ผิวกลับมาเรียบเนียนใส

รักษาแผลสิว

10 วิธีรักษาแผลสิว ลดรอยดำรอยแดงให้จางลง ไม่กลับมาเป็นซ้ำ
การรักษาแผลสิว จะต้องเลือกวิธีให้ถูกกับชนิดของแผลสิวที่เราเป็น เพราะแผลสิวแต่ละชนิดก็จะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป บทความนี้อธิบายเกี่ยวกับการรักษาแผลสิว ที่ถูกต้องและตรงกับปัญหาผิวของเรา รวมไปถึงวิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นแผลสิวซ้ำเดิม

รวมทุกหัวข้อเกี่ยวกับการรักษาแผลสิว
- การรักษาแผลสิวคืออะไร
- การรักษาแผลสิวมีหลักการอะไรบ้าง
- รอยแผลเป็นจากสิวมีกี่แบบอะไรบ้าง
- รักษาแผลสิวด้วยการทาครีม
- รักษาแผลสิวด้วยการพอกสมุนไพร
- รักษาแผลสิวด้วยการสครับอย่างอ่อนโยน
- รักษาแผลสิวด้วยการเลเซอร์
- รักษาแผลสิวด้วยการทำทรีตเม้นต์
- รักษาแผลสิวด้วยการผลัดเซลล์ผิว ( AHA , BHA )
- รักษาแผลสิวด้วยการทำ Microneedling
- รักษาแผลสิวด้วยการทานวิตามินเสริม
- รักษาแผลสิวด้วยการดูแลตัวเอง
- รักษาแผลสิวด้วยการปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
- วิธีป้องกันรอยแผลสิว
- สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการรักษาแผลสิว
- คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการรักษาแผลสิว

การรักษาแผลสิวคืออะไร
การรักษาแผลสิว คือ กระบวนการดูแลผิวที่เกิดความเสียหายหลังจากสิวหายไปแล้ว โดยสิวมักจะทิ้งร่องรอยไว้ เช่น รอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็นลึก ซึ่งเกิดจากการอักเสบของผิวหรือการกดสิวอย่างไม่ถูกวิธี การรักษาแผลสิวจึงมีข้อดีหลัก ๆ ดังนี้คือ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผลเป็น แผลเป็น (Scar) คืออะไร มีกี่ประเภท รักษาวิธีไหนดีให้หาย

- การรักษาแผลสิวช่วยให้ผิวฟื้นฟู ตามกระบวนการทำงานของร่างกายได้เร็วขึ้น
- การรักษาแผลสิวช่วยลดร่องรอยที่มองเห็นได้ให้น้อยลง
- การรักษาแผลสิวช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่หรือสิวซ้ำ

การรักษาแผลสิวไม่ได้หมายถึงการทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมแบบทันที แต่เป็นการใช้วิธีการรักษาแผลสิว ที่เหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละคน เพื่อให้ผิวค่อย ๆ ดีขึ้น

การรักษาแผลสิวมีหลักการอะไรบ้าง
การรักษาแผลสิว ไม่ได้หมายถึงการทำให้รอยสิวหายไปในทันที แต่เป็นการค่อย ๆ ฟื้นฟูผิวที่เสียหาย ให้กลับมามีความเรียบเนียนและสีผิวใกล้เคียงปกติที่สุดเท่าที่ทำได้ หลักการสำคัญของการรักษาแผลสิว มีดังนี้

1.ลดการอักเสบและระคายเคืองของผิว
• เมื่อสิวเพิ่งยุบลง ผิวยังอยู่ในระยะอักเสบและบอบบาง
• หลักการรักษาแผลสิวคือใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้ผิวระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์เข้มข้น หรือการขัดถูแรง ๆ

2.ฟื้นฟูและผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
• ผิวที่มีรอยสิวมักสะสมเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้รอยดูเข้มขึ้น
• การใช้สารผลัดเซลล์ผิวอ่อน ๆ (เช่น AHA, BHA หรือเอนไซม์จากธรรมชาติ) ในการรักษาแผลสิว จะช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ผลัดขึ้นมาแทนที่

ควรใช้ในความเข้มข้นที่เหมาะสม และเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคน

3.ป้องกันการเกิดรอยเข้มขึ้นจากแสงแดด
• แสง UV กระตุ้นให้รอยสิวเข้มขึ้นและจางช้าลง
• หลักการสำคัญคือการใช้ครีมกันแดดทุกวัน แม้ไม่ได้ออกแดดจัด เพื่อปกป้องผิวจากการเปลี่ยนสีเพิ่มเติม

4.กระตุ้นการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจน
• สำหรับรอยสิวที่เป็นหลุมหรือผิวไม่เรียบ อาจใช้วิธีรักษาแผลสิว ด้วยการกระตุ้นคอลลาเจน เช่น การทำเลเซอร์, Microneedling
• หลักการของวิธีรักษาแผลสิว คือช่วยให้ผิวสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมา ทำให้รอยดูตื้นและผิวเรียบเนียนขึ้น

หลักการรักษาแผลสิวคือ การลดการอักเสบ ฟื้นฟูผิว ผลัดเซลล์ ปกป้องผิวจากแสงแดด กระตุ้นการซ่อมแซม และปรับพฤติกรรมการดูแลผิว การเลือกวิธีการรักษาควรพิจารณาตามสภาพผิวและชนิดของรอยสิวนั้น ๆ

รอยแผลเป็นจากสิวมีกี่แบบอะไรบ้าง
เมื่อสิวอักเสบหรือถูกกดบีบอย่างไม่ถูกวิธี ร่างกายจะซ่อมแซมผิวโดยการสร้างคอลลาเจนขึ้นมา แต่บางครั้งการซ่อมแซมไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิด รอยแผลเป็นจากสิว ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

1.รอยแผลเป็นแบบนูน (Hypertrophic Scar / Keloid)
• เกิดจากร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในระหว่างการซ่อมแซมแผล
• ทำให้แผลสิวมีลักษณะนูนขึ้นจากผิว อาจแข็งหรือยืดหยุ่นได้

2.รอยแผลเป็นแบบหลุม (Atrophic Scar)
เกิดจากการที่ผิวสร้างคอลลาเจนไม่เพียงพอหลังการอักเสบ จึงทำให้ผิวเป็นร่องลึกลงไป โดยแบ่งย่อยออกเป็น 3 แบบหลัก

• Ice Pick Scar
- หลุมสิวขนาดเล็ก แต่ลึก คล้ายรอยถูกเจาะด้วยเข็ม
- มักรักษาได้ยากกว่าแบบอื่นเพราะลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้

• Boxcar Scar
- หลุมสิวที่มีขอบชัดและกว้าง คล้ายกล่องสี่เหลี่ยม
- มักพบที่แก้มและขมับ

• Rolling Scar
- หลุมสิวตื้นและกว้าง ขอบไม่ชัด ดูคล้ายผิวเป็นลอนคลื่น
- ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน แต่ตอบสนองต่อการรักษาได้ค่อนข้างดี

3.รอยสิวที่ไม่ใช่แผลเป็นถาวร แต่พบได้บ่อย
แม้ไม่ใช่ แผลเป็นจริง ๆ แต่หลายคนจัดว่าเป็นรอยสิวที่ต้องการการดูแล เช่น

- รอยแดง (Post-inflammatory Erythema: PIE) เกิดจากเส้นเลือดขยายหลังสิวอักเสบ
- รอยดำ (Post-inflammatory Hyperpigmentation: PIH) เกิดจากเม็ดสีเมลานินที่ถูกกระตุ้นหลังการอักเสบ

รักษาแผลสิว

10 วิธีรักษาแผลสิว ลดรอยดำรอยแดงให้จางลง ผิวกลับมาเรียบเนียนใส

โปรแกรมรักษาแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

รักษาแผลสิวด้วยการทาครีม
การทาครีมถือเป็นวิธีพื้นฐานในการรักษาแผลสิว ที่นิยมใช้กันอย่างมาก เพราะสะดวก สามารถทำเองได้ที่บ้าน และมีหลากหลายสูตรที่ออกแบบมาเพื่อช่วยรักษาแผลสิวให้ค่อย ๆ จางลง

หลักการของการทาครีมรักษาแผลสิว
1.การทาครีมรักษาแผลสิวลดการอักเสบของผิว
- ครีมบางชนิดมีส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลม ลดรอยแดงและการระคายเคือง

2.การทาครีมรักษาแผลสิว ยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไป
- รอยดำจากสิวมักเกิดจากเม็ดสีเมลานินที่ทำงานมากกว่าปกติ
- ส่วนผสมที่ช่วยได้ เช่น วิตามินซี, อาร์บูติน, ไนอาซินาไมด์

3.การทาครีมรักษาแผลสิวช่วย ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
- ทำให้ผิวที่หมองคล้ำหรือมีรอยสิวค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยเซลล์ใหม่

4.การทาครีมรักษาแผลสิวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- สำหรับรอยสิวที่เป็นหลุม ส่วนผสมบางชนิด เช่น เรตินอล หรือเปปไทด์ ช่วยให้ผิวสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นในระยะยาว

5.การทาครีมรักษาแผลสิวเสริมความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิว
- ครีมที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดโอกาสการระคายเคืองจากการรักษา

ควรเลือกครีมรักษาแผลสิวอย่างไรดี
• เลือกสูตรครีมรักษาแผลสิวที่เหมาะกับสภาพผิว (ผิวมัน, ผิวแห้ง, ผิวแพ้ง่าย)
• อ่านฉลากและส่วนผสมอย่างรอบคอบ
• ใช้ครีมรักษาแผลสิวอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรใช้เกินปริมาณที่แนะนำ
• หากมีอาการระคายเคืองควรหยุดใช้และปรึกษาหมอด้านผิวหนัง

ข้อควรระวังในการใช้ครีมรักษาแผลสิว
• ครีมรักษาแผลสิวอาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง
• ผลลัพธ์ในการใช้ครีมรักษาแผลสิวแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดรอยสิว ความรุนแรง และการดูแลผิวโดยรวม
• สำหรับรอยสิวที่ลึกหรือชัดเจนมาก การทาครีมรักษาแผลสิวเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ และควรพิจารณาวิธีการรักษาอื่นร่วมด้วย

รักษาแผลสิวด้วยการพอกสมุนไพร
การพอกสมุนไพรเป็นหนึ่งในวิธีรักษาแผลสิว ที่ใช้กันมายาวนาน มีจุดเด่นคือใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น พืช ผัก หรือผลไม้บางชนิดที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และสารออกฤทธิ์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว แม้ว่าการพอกสมุนไพรในการรักษาแผลสิว จะไม่สามารถรักษารอยสิวให้หายได้ทันที แต่สามารถช่วย บรรเทา ลดการอักเสบ และทำให้รอยสิวดูจางลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ตัวอย่างสมุนไพรที่ใช้พอกเพื่อรักษาแผลสิว
• ว่านหางจระเข้ ในการรักษาแผลสิว ลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น
• ขมิ้น ในการรักษาแผลสิว มีสารต้านการอักเสบ ทำให้ผิวดูสว่างขึ้น
• น้ำผึ้ง ในการรักษาแผลสิว ให้ความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวเรียบเนียน
• แตงกวา ในการรักษาแผลสิว ปลอบประโลมผิว ลดอาการระคายเคือง
• มะเขือเทศ ในการรักษาแผลสิว มีไลโคปีนและวิตามินซี ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส

ข้อควรระวังในการพอกสมุนไพรในการรักษาแผลสิว
• ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ โดยพอกเล็กน้อยที่ท้องแขน 24 ชั่วโมง
• หลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรที่ไม่สะอาดหรือผสมสารอื่นที่อาจระคายเคืองผิว
• การพอกสมุนไพร ในการรักษาแผลสิวควรทำอย่างเหมาะสม ไม่บ่อยเกินไป (สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง)
• หากมีสิวอักเสบรุนแรงหรือผิวแพ้ง่าย ควรปรึกษาคุณหมอก่อนใช้

การรักษาแผลสิวด้วยการพอกสมุนไพร เป็นการดูแลผิวที่ช่วยลดการอักเสบ เติมความชุ่มชื้น และทำให้รอยสิวดูจางลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการบำรุงผิวควบคู่ไปกับการรักษาแผลสิวด้วยวิธีอื่น ๆ

รักษาแผลสิวด้วยการสครับอย่างอ่อนโยน
การรักษาแผลสิวด้วยการสครับผิว คือการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิวชั้นบน เพื่อช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และเปิดทางให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน การสครับอย่างอ่อนโยนสามารถช่วยให้ รอยสิว รอยดำ หรือรอยแดงดูจางลงได้เร็วขึ้น เมื่อทำอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

หลักการของการสครับเพื่อรักษาแผลสิว
1.สครับเพื่อรักษาแผลสิวช่วยให้ผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
• ช่วยให้รอยสิวและความหมองคล้ำค่อย ๆ ลดลง
• ทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น

2.สครับเพื่อรักษาแผลสิวช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
• การสครับอย่างพอดีช่วยกระตุ้นวงจรการผลัดเซลล์
• ทำให้ผิวดูสดใส เรียบเนียนมากขึ้น

3.สครับเพื่อรักษาแผลสิวช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
• ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดแผลสิวซ้ำ

วิธีการสครับผิวที่ถูกวิธีเพื่อรักษาแผลสิว
- เลือก สครับในการรักษาแผลสิวที่มีเม็ดละเอียดและอ่อนโยน เพื่อลดการเสียดสี
- ทำเพียง สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ผิวบางหรือระคายเคือง
- ขณะสครับควร นวดเบามือ ไม่ถูแรง เพราะจะยิ่งทำให้รอยสิวชัดขึ้น
- หลังสครับควร ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ และ ครีมกันแดด เพื่อปกป้องผิวที่กำลังฟื้นตัว

ข้อควรระวังในการสครับเพื่อรักษาแผลสิว
- ไม่ควรสครับบนสิวอักเสบหรือสิวหนอง เพราะจะทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้สครับที่มีเม็ดใหญ่หรือหยาบ เพราะอาจขูดผิวจนเกิดรอยใหม่
- หากผิวแพ้ง่าย ควรเลือกสครับแบบเอนไซม์หรือเคมีอ่อน ๆ (Chemical Exfoliant) แทนสครับแบบเม็ด

รักษาแผลสิว

10 วิธีรักษาแผลสิว ลดรอยดำรอยแดงให้จางลง ผิวกลับมาเรียบเนียนใส

โปรแกรมรักษาแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

รักษาแผลสิวด้วยการเลเซอร์
การเลเซอร์รักษาแผลสิว คือการใช้พลังงานแสงความเข้มข้นสูงยิงไปยังบริเวณที่มีรอยสิวหรือแผลเป็น เพื่อกระตุ้นให้ผิวเกิดการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนใหม่ วิธีรักษาแผลสิวด้วยการเลเซอร์นี้มักใช้เมื่อรอยสิวมีความชัดเจน เช่น รอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลเป็นแบบหลุมที่ครีมหรือวิธีรักษาแผลสิวธรรมชาติ อาจไม่ตอบโจทย์

หลักการทำงานของเลเซอร์รักษาแผลสิว
1.การเลเซอร์รักษาแผลสิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• แสงเลเซอร์ลงไปถึงชั้นหนังแท้ ทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่
• เลเซอร์รักษาแผลสิว เหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิวหรือผิวไม่เรียบ

2.การเลเซอร์รักษาแผลสิว ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้น
• เลเซอร์รักษาแผลสิว บางชนิดช่วยลดเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน
• ทำให้รอยดำจากสิวจางลงและสีผิวดูใกล้เคียงปกติ

3.การเลเซอร์รักษาแผลสิว ช่วยลดรอยแดงจากเส้นเลือดขยาย
• แสงเลเซอร์บางประเภทสามารถทำให้เส้นเลือดเล็ก ๆ หดตัว
• ส่งผลให้รอยแดงจากสิวค่อย ๆ จางลง

ข้อดีของการเลเซอร์รักษาแผลสิว
• เลเซอร์รักษาแผลสิวเห็นผลได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับการทาครีมหรือการบำรุงทั่วไป
• ช่วยจัดการได้ทั้ง รอยดำ รอยแดง และรอยหลุมสิว
• สามารถทำร่วมกับการรักษาแบบอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้

ข้อควรระวังของการเลเซอร์รักษาแผลสิว
• อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังทำเลเซอร์รักษาแผลสิว ซึ่งเป็นอาการปกติและมักหายไปภายในไม่กี่วัน
• ต้องปกป้องผิวจากแสงแดดหลังเลเซอร์รักษาแผลสิว เพราะผิวจะไวต่อแสงมากขึ้น
• ผลลัพธ์จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดรอยสิว ความรุนแรง และจำนวนครั้งที่ทำเลเซอร์รักษาแผลสิว
• ควรทำโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

รักษาแผลสิวด้วยการทำทรีตเม้นต์
การทำทรีตเม้นต์เพื่อรักษาแผลสิว คือการดูแลผิวโดยใช้เทคนิคหรือเครื่องมือเฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อช่วยฟื้นฟูผิวจากรอยสิว จุดเด่นของการทำทรีตเม้นต์เพื่อรักษาแผลสิว คือช่วยให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึก และบางวิธีสามารถเร่งการฟื้นตัวของผิวได้มากกว่าการใช้ครีมบำรุงเพียงอย่างเดียว

หลักการของการทำทรีตเม้นต์รักษาแผลสิว
1.ทรีตเม้นต์รักษาแผลสิวช่วยในการผลัดเซลล์ผิว (Peeling Treatment)
• ใช้สารผลัดเซลล์อ่อน ๆ เช่น AHA หรือ BHA
• ช่วยให้รอยสิวดูจางลง และผิวดูเรียบเนียนขึ้น

2.ทรีตเม้นต์รักษาแผลสิวช่วยใน การทำไอออนโตโฟเรซิส (Iontophoresis) หรือโฟโนโฟเรซิส (Phonophoresis)
• ใช้กระแสไฟอ่อน ๆ หรือคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิว
• ช่วยให้สารที่ลดรอยสิวซึมลึกและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น

3.ทรีตเม้นต์รักษาแผลสิวช่วยกระตุ้นคอลลาเจน
• บางโปรแกรมใช้คลื่นแสงหรือคลื่นความถี่วิทยุ (RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• ทรีตเม้นต์รักษาแผลสิว เหมาะกับรอยสิวที่เป็นหลุมตื้น ๆ หรือผิวไม่เรียบ

4.ทรีตเม้นต์รักษาแผลสิวช่วยปลอบประโลมผิว
• ใช้มาสก์หรือเซรั่มเข้มข้นลดการอักเสบ
• ช่วยให้ผิวฟื้นตัวไวขึ้น และลดความเสี่ยงจากการเกิดรอยใหม่

ข้อดีของการทำทรีตเม้นต์ในการรักษาแผลสิว
• เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลเพิ่มเติมนอกจากการทาครีม
• สามารถปรับโปรแกรมให้เหมาะกับปัญหาผิวเฉพาะบุคคล

ข้อควรระวังของการทำทรีตเม้นต์ในการรักษาแผลสิว
• ไม่ใช่ทุกทรีตเม้นต์รักษาแผลสิว จะเหมาะกับทุกสภาพผิว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกทำ
• หลังทำทรีตเม้นต์รักษาแผลสิว ผิวอาจบอบบางขึ้น ต้องป้องกันแสงแดดและบำรุงอย่างเหมาะสม
• ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับชนิดของรอยสิว ความลึก และการดูแลผิวควบคู่กัน

รักษาแผลสิว

10 วิธีรักษาแผลสิว ลดรอยดำรอยแดงให้จางลง ผิวกลับมาเรียบเนียนใส

โปรแกรมรักษาแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

รักษาแผลสิวด้วยการผลัดเซลล์ผิว ( AHA , BHA )
การรักษาแผลสิวด้วยการ ผลัดเซลล์ผิวด้วยสารกลุ่มกรดอ่อน เช่น AHA (Alpha Hydroxy Acid) และ BHA (Beta Hydroxy Acid) เป็นวิธีรักษาแผลสิวที่ช่วยให้ผิวกำจัดเซลล์ที่เสื่อมสภาพออกไป เปิดทางให้ผิวใหม่ที่เรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น

AHA ละลายเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพบนผิวชั้นนอก เหมาะกับการรักษาแผลสิวตื้น ๆ หรือรอยดำ
BHA ซึมเข้าสู่รูขุมขนได้ดี ช่วยลดการอุดตัน เหมาะกับการรักษาแผลสิวและผู้ที่มีสิวเสี้ยนหรือสิวอุดตันร่วมด้วย

ผลที่ได้หลังจากการรักษาแผลสิวด้วยการผลัดเซลล์ผิว คือรอยสิวค่อย ๆ จางลง ผิวเรียบเนียนขึ้น แต่ควรใช้ในความเข้มข้นที่เหมาะสม และต้องปกป้องผิวจากแสงแดดทุกครั้งหลังใช้ เพราะผิวจะไวต่อแสงมากขึ้น

รักษาแผลสิวด้วยการทำ Microneedling
การรักษาแผลสิวด้วย Microneedling หรือที่หลายคนเรียกว่า “การรักษาแผลสิวด้วยเข็มขนาดเล็ก ” เป็นเทคนิคที่ใช้เครื่องมือซึ่งมีเข็มเล็ก ๆ จำนวนมาก เจาะลงบนผิวในระดับตื้นถึงลึกอย่างเหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง คอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้รอยแผลสิว โดยเฉพาะรอยหลุมสิว ค่อย ๆ ตื้นขึ้น และผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น

หลักการทำงานของ Microneedling ในการรักษาแผลสิว
1.สร้างบาดแผลเล็ก ๆ ที่ควบคุมได้
- เข็มเล็กจะทำให้เกิดแผลจิ๋วบนผิว
- ร่างกายตอบสนองด้วยการกระตุ้นการซ่อมแซมตัวเอง

2.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- ช่วยฟื้นฟูผิว ลดความลึกของรอยสิว
- ทำให้ผิวแน่น กระชับ และเรียบขึ้น

3.เพิ่มประสิทธิภาพของการดูดซึมสารบำรุง
- หลังการทำ Microneedling ผิวจะเปิดรับสารบำรุงได้ดีขึ้น เช่น เซรั่มวิตามินหรือเปปไทด์

ข้อดีของการทำ Microneedling ในการรักษาแผลสิว
- เหมาะสำหรับรอยหลุมสิว รอยแผลเป็นตื้นถึงปานกลาง
- ไม่ทำให้ผิวบางเหมือนการผลัดเซลล์ผิวบางประเภท
- ระยะพักฟื้นไม่นาน อาจมีรอยแดงเพียง 1–2 วัน

ข้อควรระวังของการทำ Microneedling ในการรักษาแผลสิว
- ควรทำโดยแพทย์เท่านั้น
- อาจมีอาการแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังทำ ถือเป็นเรื่องปกติ
- ต้องดูแลผิวหลังทำอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใช้ครีมกันแดดและมอยส์เจอร์ไรเซอร์
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบมากหรือมีโรคผิวหนังบางชนิด

รักษาแผลสิวด้วยการทานวิตามินเสริม
การรักษาแผลสิวด้วยการทานวิตามินเสริม ถือเป็นการช่วยดูแล จากภายใน ควบคู่กับการบำรุงผิวภายนอก วิตามินบางชนิดมีบทบาทในการฟื้นฟูผิว ลดการอักเสบ และเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยสิวค่อย ๆ ดูจางลงและผิวแข็งแรงขึ้น

วิตามินซี (Vitamin C) มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนและต้านอนุมูลอิสระ ทำให้รอยดำดูจางลง
วิตามินอี (Vitamin E) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมการซ่อมแซมผิว
สังกะสี (Zinc) ช่วยลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกันของผิว
โอเมก้า-3 (Omega-3) มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ทำให้สิวและรอยสิวสงบไวขึ้น

ข้อควรระวังในการรักษาแผลสิวด้วยการทานวิตามินเสริม
• การทานวิตามินเสริมควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป
• ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และปรึกษาคุณหมอหากมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาร่วมด้วย
• วิตามินเป็นเพียง “ตัวช่วย” ไม่สามารถรักษาแผลสิวให้หายไปได้ทันที ควรใช้ควบคู่กับการดูแลผิวอื่น ๆ

รักษาแผลสิวด้วยการดูแลตัวเอง
การดูแลตัวเองเป็นพื้นฐานสำคัญของการรักษาแผลสิว ที่หลายคนมักมองข้าม แม้ว่าจะมีครีมหรือทรีตเม้นต์หลากหลายวิธี แต่หากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อน อาหารไม่สมดุล หรือมีความเครียดสะสม การฟื้นตัวของผิวก็จะช้าลง การดูแลตัวเองที่ดีจึงเปรียบเสมือน ต้นทุนสุขภาพผิว ที่ช่วยเสริมให้รอยสิวจางไวขึ้น และลดโอกาสเกิดสิวใหม่

1.การนอนหลับให้เพียงพอ
• ร่างกายจะซ่อมแซมเซลล์ผิวและสร้างฮอร์โมนที่ช่วยลดการอักเสบในช่วงเวลานอน
• การนอนอย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง และนอนให้ตรงเวลา จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
• คนที่นอนดึกบ่อย ๆ มักสังเกตเห็นได้ว่ารอยสิวเข้มขึ้นหรือสิวใหม่เกิดง่ายกว่า

2.การกินอาหารที่มีประโยชน์
• อาหารที่ช่วยฟื้นฟูผิว ได้แก่ ผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี (เช่น ฝรั่ง ส้ม บร็อคโคลี่), วิตามินอี (เช่น อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง) และอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 (เช่น ปลาแซลมอน ปลาทะเล ถั่ววอลนัท)
• อาหารเหล่านี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมผิว
• ควรหลีกเลี่ยง อาหารทอดมันจัด น้ำตาลสูง และฟาสต์ฟู้ด เพราะอาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้นและทิ้งรอยชัดเจนกว่าเดิม

3.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น
• ยังช่วยขับของเสียออกทางเหงื่อ ทำให้ผิวสะอาดและสดใส
• นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สิวเห่อและรอยสิวหายช้า
• แนะนำให้ออกกำลังกายอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที

4.การจัดการความเครียด
• ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการอักเสบและสิว
• การทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ทำสมาธิ โยคะ ฟังเพลง หรือทำงานอดิเรก จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้น

รักษาแผลสิวด้วยการปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
แม้การทาครีม ใช้สมุนไพร หรือทำทรีตเม้นต์ด้วยตัวเองจะช่วยได้ในระดับหนึ่งในการรักษาแผลสิว แต่ในบางกรณี รอยแผลสิวมีความรุนแรงหรือดื้อการรักษา เช่น รอยสิวที่เป็นมานาน หลุมสิวลึก รอยนูน หรือสิวที่ยังอักเสบซ้ำ ๆ การดูแลด้วยตัวเองอาจไม่เพียงพอและอาจทำให้ผิวเกิดรอยใหม่ได้

ทำไมจึงควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังในการรักษาแผลสิว
- การวิเคราะห์ที่ชัดเจน แพทย์สามารถตรวจสอบได้ว่ารอยสิวของคุณเป็นแบบไหน เช่น รอยดำ รอยแดง หลุมสิว หรือแผลเป็นนูน ซึ่งแต่ละแบบต้องใช้วิธีรักษาแผลสิวที่ต่างกัน
- การเลือกวิธีที่ตรงกับปัญหา แพทย์ผิวหนังสามารถแนะนำวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น การใช้ยาทาเฉพาะ, การทำเลเซอร์, การฉีดยา หรือการทำหัตถการอื่น ๆ
- ความไม่เป็นอันตราย การรักษาโดยแพทย์จะช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ผลิตภัณฑ์หรือวิธีที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้รอยสิวรุนแรงกว่าเดิม

รักษาแผลสิว

10 วิธีรักษาแผลสิว ลดรอยดำรอยแดงให้จางลง ผิวกลับมาเรียบเนียนใส

โปรแกรมรักษาแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

วิธีป้องกันรอยแผลสิว
การป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลสิวเป็นขั้นตอนสำคัญพอ ๆ กับการรักษาแผลสิว เพราะหากดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้น โดยมีหลักการง่าย ๆ ดังนี้

1.หลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือเกาสิว
• พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ผิวอักเสบรุนแรงขึ้น และอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจาย

2.ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์รักษาสิวอย่างเหมาะสม
• เลือกใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
• อย่าใช้ยามากเกินไปหรือผสมหลายชนิดเอง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองจนเกิดรอยได้

3.ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน
• ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอ
• เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง เพื่อลดการระคายเคือง

4.ปกป้องผิวจากแสงแดด
• แสง UV ทำให้รอยสิวเข้มขึ้นและหายช้าลง
• การทาครีมกันแดดทุกวันจึงช่วยลดการเกิดรอยใหม่ได้

5.ดูแลสุขภาพโดยรวม
• นอนหลับให้เพียงพอ
• รับประทานอาหารที่ดีต่อผิว เช่น ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำมาก ๆ
• ลดความเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นการเกิดสิว

รักษาแผลสิว

10 วิธีรักษาแผลสิว ลดรอยดำรอยแดงให้จางลง ผิวกลับมาเรียบเนียนใส

โปรแกรมรักษาแผลสิว ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการรักษาแผลสิว
1.รอยสิวจะหายเองได้ไหม ?
บางรอย เช่น รอยแดงหรือรอยดำตื้น ๆ สามารถจางลงเองตามธรรมชาติ แต่ใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ส่วนรอยลึกหรือหลุมสิวมักต้องอาศัยการรักษาเพิ่มเติม

2.ใช้ครีมรักษาแผลสิวแล้วเห็นผลในกี่วัน ?
โดยทั่วไปต้องใช้เวลาต่อเนื่อง อย่างน้อย 4–8 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความรุนแรงของรอยสิวด้วย

3.เลเซอร์รักษาแผลสิวหายขาดได้ไหม ?
เลเซอร์ช่วยให้รอยสิวดูจางลงและผิวเรียบเนียนขึ้นได้มาก แต่ไม่สามารถรับประกันว่ารอยจะหายหมด 100% ผลลัพธ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาจต้องทำหลายครั้งควบคู่กับการดูแลผิวอย่างเหมาะสม

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับการรักษาแผลสิว
หลายคนเมื่อสิวหายแล้วมักจะละเลยการดูแลต่อ แต่สิ่งที่ตามมาคือ “รอยแผลสิว ” ที่อาจอยู่กับผิวไปอีกนาน ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง หรือแม้กระทั่งแผลเป็นหลุม หากปล่อยทิ้งไว้นาน การรักษาอาจใช้เวลามากขึ้น และบางครั้งอาจต้องอาศัยวิธีที่ซับซ้อนกว่าเดิม ดังนั้น การใส่ใจตั้งแต่แรกถือเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูผิว

การรักษาแผลสิวมีหลายวิธีให้เลือก ตั้งแต่การ ทาครีมบำรุง, พอกสมุนไพร, สครับอย่างอ่อนโยน, ไปจนถึง วิธีทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์, ทรีตเม้นต์, หรือ Microneedling แต่ละวิธีรักษาแผลสิวมีหลักการที่ต่างกันไป บางอย่างเหมาะกับรอยตื้น ๆ ในขณะที่บางอย่างใช้กับรอยลึกหรือหลุมสิว การเลือกวิธีรักษาแผลสิวที่เหมาะสม จึงต้องดูจากสภาพผิวและความรุนแรงของรอยสิวเป็นหลัก

นอกจากนี้ การดูแลจากภายในก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ล้วนช่วยให้ผิวแข็งแรง ฟื้นตัวได้ดีขึ้น และลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ รวมถึงการป้องกันรอยสิวที่ดีที่สุดคือ ไม่แกะ แคะ หรือเกาสิว เพราะจะทำให้รอยรุนแรงกว่าเดิม

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ