romrawin

สิวหัวแข็ง คืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร รักษาอย่างไร เพื่อผิวเนียนใส

สิวหัวแข็ง

1793

สิวหัวแข็งคืออะไร รู้สาเหตุและวิธีรักษา เพื่อผิวเนียนใส
สิวหัวแข็ง เป็นปัญหาผิวที่หลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวมันหรือรูขุมขนกว้าง สิวชนิดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน แต่ยังอาจใช้เวลานานกว่าจะหาย และหากจัดการไม่ถูกต้องอาจทิ้งรอยแผลเป็นได้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสิวหัวแข็งให้มากขึ้น พร้อมเผยวิธีจัดการและป้องกันที่ได้ผลจริง

สิวหัวแข็งคืออะไร เป็นอย่างไร
สิวหัวแข็ง หรือสิวอุดตันหัวปิด (Closed Comedone) เป็นสิวที่เกิดจากไขมันและเซลล์ผิวที่อุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดเป็นตุ่มแข็งใต้ผิวหนัง มักไม่อักเสบแต่กดออกยาก และสามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ ได้หากติดเชื้อแบคทีเรีย

ลักษณะของสิวหัวแข็ง
• เป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ สีเดียวกับผิวหรือสีขาว
• ไม่มีหัวหนองเหมือนสิวอักเสบ
• กดออกยาก และมักฝังลึกใต้ผิว
• พบได้บ่อยบริเวณ หน้าผาก คาง แก้ม และข้างจมูก

สิวหัวแข็งเกิดจากอะไร
สิวหัวแข็งเกิดจากหลายปัจจัยที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบของผิวหนัง สาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้

1.สิวหัวแข็งเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
• ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป ทำให้ไขมันไปอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิวหัวแข็ง
• เซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสม เมื่อเซลล์ผิวผลัดตัวไม่สมบูรณ์ ก็จะไปอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิวหัวแข็ง
• สิ่งสกปรกและเครื่องสำอางตกค้าง หากล้างหน้าไม่สะอาดพอ อาจมีสารตกค้างสะสมในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิวหัวแข็ง

2.สิวหัวแข็งเกิดจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) มีผลต่อการเพิ่มการผลิตน้ำมัน ทำให้เกิดสิว โดยเฉพาะในวัยรุ่น ช่วงมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น โรคถุงน้ำรังไข่ (PCOS)

3.สิวหัวแข็งเกิดจากแบคทีเรีย P.acnes
แบคทีเรีย Propionibacterium acnes เจริญเติบโตในรูขุมขนอุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบและสิวหัวแข็ง

4.สิวหัวแข็งเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่าง
• เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงที่มีน้ำมันเยอะ อาจทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิวหัวแข็ง
• ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอุดตันรูขุมขน เช่น ซิลิโคนบางประเภท อาจทำให้เกิดสิวหัวแข็งได้

5.สิวหัวแข็งเกิดจากพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิว
• สิวหัวแข็งเกิดจากการล้างหน้าบ่อยเกินไป ทำให้ผิวแห้งและกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
• สิวหัวแข็งเกิดจากการจับหน้า/บีบสิวบ่อย ๆ นำเชื้อโรคและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิว ทำให้เกิดสิวอักเสบ
• สิวหัวแข็งเกิดจากอาหารที่มีน้ำตาลสูง / นมวัว อาหารเหล่านี้อาจกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินและ IGF-1 ทำให้เกิดสิวมากขึ้น
• สิวหัวแข็งเกิดจากความเครียด ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวนและเพิ่มการผลิตน้ำมัน
• สิวหัวแข็งเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการซ่อมแซมผิว ทำให้สิวขึ้นง่ายขึ้น

6.พันธุกรรม
หากพ่อแม่มีปัญหาสิวหัวแข็งหรือมีลักษณะผิวมัน ลูกก็อาจมีแนวโน้มเป็นสิวหัวแข็งได้ง่ายเช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องใส่ใจดูแลผิวเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวหัวแข็งหรือสิวอักเสบง่าย

วิธีรักษาสิวหัวแข็งอย่างไรให้หาย
การรักษาสิวหัวแข็งให้หาย ลดความเสี่ยงเกิดสิวอักเสบ มีหลากหลายวิธีที่สามารถใช้กับแต่ละบุคคล ทั้งวิธีรักษาสิวหัวแข็งด้วยตัวเองและวิธีทางการแพทย์ ดังนี้

1.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยลดการอุดตัน
• เลือกคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารระคายเคือง เพื่อช่วยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิวหัวแข็งจนเกิดการอักเสบ
• เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA เพื่อช่วยขจัดไขมันและเซลล์ผิวที่อุดตันรูขุมขน ลดการเกิดสิวหัวแข็ง
• ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ไม่ควรล้างบ่อยเกินไป เพราะจะกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่ม เป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง

2.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว
• Salicylic Acid (BHA) ซึมเข้าสู่รูขุมขน ช่วยลดการอุดตันและลดการเกิดสิวหัวแข็ง
• Glycolic Acid (AHA) ผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ลดการสะสมของสิ่งสกปรกในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง รวมถึงช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
• Lactic Acid อ่อนโยนกว่ากรดผลัดเซลล์อื่น ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและมีปัญหาสิวหัวแข็ง
• แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวช่วยลดสิวหัวแข็ง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ถ้าผิวไม่ระคายเคือง สามารถเพิ่มเป็นทุกวันได้

3.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการใช้เรตินอลช่วยลดการอุดตัน
• Retinol, Adapalene หรือ Tretinoin กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน ทำให้ช่วยลดสิวหัวแข็งตามไปด้วย
• แนะนำเริ่มต้นใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มความถี่ เมื่อผิวปรับตัวได้ เพื่อช่วยลดสิวหัวแข็ง
• แนะนำใช้เรตินอลลดสิวหัวแข็งตอนกลางคืน และควรทากันแดดทุกวัน เพราะผิวจะไวต่อแสง

4.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการหลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดสิว
• เลือกมอยส์เจอไรเซอร์และกันแดดที่เป็น Non-comedogenic ลดการอุดตันรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง
• หลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหนัก ๆ หรือซิลิโคนบางชนิด ที่อาจทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง
• หากใช้เครื่องสำอาง ควรล้างออกให้สะอาดหมดจดทุกครั้ง เพื่อช่วยไม่ให้รูขุมขนอุดตันที่เป็นสาเหตุของสิวหัวแข็ง

5.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการหลีกเลี่ยงบีบหรือแกะสิว
• การกดสิวหัวแข็งเองอาจทำให้เกิดการอักเสบและทิ้งรอยแผลเป็น
• หากจำเป็น ควรไปพบแพทย์เพื่อกดสิวหัวแข็งอย่างถูกวิธี

6.รักษาสิวหัวแข็งด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
• ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูงและนมวัว เนื่องจากอาจกระตุ้นการเกิดสิวหัวแข็ง
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดโอกาสการอุดตันที่ทำให้เกิดสิวหัวแข็ง
• นอนหลับให้เพียงพอและลดความเครียด เพราะฮอร์โมนที่ไม่สมดุลทำให้เกิดสิวหัวแข็งได้
• เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัว และของใช้ที่สัมผัสหน้าเป็นประจำ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิวหัวแข็ง

7.รักษาสิวหัวแข็งด้วยเลเซอร์รักษาสิว AviClear
AviClear เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ที่ออกแบบมาเพื่อรักษาสิวโดยเฉพาะ โดยใช้ความยาวคลื่น 1,726 นาโนเมตร เพื่อยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว AviClear Laser ได้รับการรับรองจาก US FDA ว่าเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่สามารถรักษาสิวทุกระดับความรุนแรง ได้โดยตรงที่ต้นเหตุ โดยไม่ต้องใช้ยา

หลักการทำงานของ AviClear
• AviClear ใช้ พลังงานเลเซอร์ในช่วงความยาวคลื่นเฉพาะ (1,726 นาโนเมตร) ที่สามารถดูดซับพลังงานเข้าไปในต่อมไขมันโดยตรง
• เมื่อได้รับพลังงานเลเซอร์ ต่อมไขมันจะค่อยๆ ลดการผลิตน้ำมัน ทำให้สิวลดลง โดยไม่ต้องใช้ยา
• AviClear ไม่ทำลายต่อมไขมันโดยตรง แต่ ปรับสมดุลการทำงานของต่อมไขมัน
• เมื่อทำครบ 3 ครั้ง ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันน้อยลง ซึ่งช่วยลดสิวในระยะยาว
• ไม่ทำให้ผิวไหม้ ไม่ทำลายเม็ดสีผิว เลือกทำงานเฉพาะกับต่อมไขมัน
• ไม่มีผลข้างเคียง ทำให้สามารถใช้ได้กับทุกสีผิวและทุกสภาพผิว
• AviClear มีระบบ AviCool™ ลดความร้อน ควบคุมอุณหภูมิผิว ลดอาการไม่สบายผิว

ข้อดีของการรักษาด้วย AviClear
• รักษาสิวได้ทุกระดับความรุนแรง
• ลดความมันบนใบหน้า
• ไม่จำเป็นต้องใช้ยาทาหรือยารับประทานเพิ่มเติม
• ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว
• หลังการรักษาไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที

ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการรักษา
• แนะนำให้ทำการรักษา 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละประมาณ 4 สัปดาห์
• แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
หลังการรักษาครบ 3 ครั้ง สิวอักเสบลดลงเฉลี่ย 71% และผลลัพธ์คงอยู่ยาวนานถึง 1-2 ปี 

หมายเหตุ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม

8.รักษาสิวหัวแข็งด้วยเลเซอร์รักษาสิว Accure Laser
Accure Laser เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ที่ใช้สำหรับ รักษาสิวจากต้นเหตุ โดยมุ่งเน้นไปที่การลดการทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว

หลักการทำงานของ Accure Laser
• ใช้ความยาวคลื่น 1,726 นาโนเมตร ที่สามารถลงลึกถึงต่อมไขมันโดยตรง
• ส่งพลังงานความร้อน ควบคุมอย่างแม่นยำ เพื่อทำให้ต่อมไขมันฝ่อตัวลง
• ช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ทำให้ลดการเกิดสิวในระยะยาว

ข้อดีของการรักษาด้วย Accure Laser
• รักษาสิวจากต้นเหตุ เน้นการลดการทำงานของต่อมไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
• ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) และสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว
• ลดการใช้ยารักษาสิว ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาทาหรือยารับประทานที่อาจมีผลข้างเคียง

ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการรักษา
• แนะนำให้ทำการรักษาประมาณ 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือน
• แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
• หลังการรักษาครั้งแรก สิวอาจลดลงประมาณ 30%
• หลังการรักษาครบ 4 ครั้ง สิวอาจลดลงมากกว่า 70%

หมายเหตุ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนเข้ารับบริการ

9.รักษาสิวหัวแข็งด้วยโปรแกรมรักษาสิว AC Clear
โปรแกรม AC Clear ที่ รมย์รวินท์คลินิก เป็นโปรแกรมการรักษาสิวที่ออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหาสิวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนการรักษาที่ครอบคลุม เพื่อฟื้นฟูสุขภาพผิวและลดการเกิดสิวใหม่

ขั้นตอนการรักษาในโปรแกรม AC Clear
1.การกดสิว แพทย์จะทำการกดสิวอุดตันอย่างถูกวิธี เพื่อลดการอุดตันและป้องกันการเกิดสิวอักเสบ
2.การฉีดสิว สำหรับสิวที่มีการอักเสบ แพทย์จะฉีดยาเฉพาะจุดเพื่อยับยั้งการอักเสบ ลดอาการบวมแดง และช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น
3.การทำทรีตเมนต์ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว และควบคุมความมันบนใบหน้า เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่
4.การมาส์ก ขั้นตอนสุดท้ายคือการมาส์กเพื่อปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง และฟื้นฟูสภาพผิวหลังการรักษา

ประโยชน์ของโปรแกรม AC Clear
• รักษาสิวจากต้นตอด้วยขั้นตอนที่ครอบคลุม ช่วยจัดการปัญหาสิวอย่างมีประสิทธิภาพ
• ลดการเกิดสิวใหม่ด้วยการควบคุมความมันและลดเชื้อแบคทีเรีย
• ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น

หมายเหตุ ผลลัพธ์ของการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนเข้ารับบริการ

สิ่งที่ควรทำเมื่อเป็นสิวหัวแข็ง
1.ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ที่ไม่มีแอลกอฮอล์และน้ำหอม
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ไม่ล้างบ่อยเกินไป

2.ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยลดการอุดตัน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้ Salicylic Acid (BHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและขจัดสิ่งอุดตัน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้ Retinoids (Retinol, Adapalene, Tretinoin) ช่วยลดการอุดตันรูขุมขน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้ Benzoyl Peroxide ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ

3.เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์และกันแดดที่ไม่อุดตัน
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรเลือกใช้สกินแคร์ที่ Non-comedogenic หรือ Oil-Free
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรใช้ครีมกันแดดสูตร Physical หรือ Chemical Sunscreen ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว

4.ดูแลการกินอาหารและไลฟ์สไตล์
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง นมวัว และอาหารไขมันสูง
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรดื่มน้ำให้เพียงพอและพักผ่อนให้เพียงพอ
• เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดความเครียด

5.พบแพทย์หากสิวไม่ดีขึ้น
หากสิวหัวแข็งเป็นเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยา หรือทำเลเซอร์รักษาสิว

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวหัวแข็ง
1.ห้ามบีบ แกะ หรือกดสิวเอง
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งไม่ควรบีบ แกะเกา หรือกดสิวเอง เพราะการบีบสิวอาจทำให้เกิดการอักเสบ และกลายเป็นรอยแผลเป็นหรือหลุมสิว

2.หลีกเลี่ยงการล้างหน้าหรือขัดผิวแรงเกินไป
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งไม่ควรล้างหน้าหรือขัดผิวแรงเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง และอาจกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น

3.ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหนัก หรืออุดตันรูขุมขน
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรหลีกเลี่ยงครีมบำรุงหรือเครื่องสำอางที่มีซิลิโคนหนัก ๆ น้ำมันมิเนอรัล และพาราเบน

4.ไม่ใช้ยาแต้มสิวหลายตัวพร้อมกัน
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งไม่ควรใช้ยาแต้มสิวหลายตัวพร้อมกัน เพราะการใช้หลายผลิตภัณฑ์อาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดสิวมากขึ้น

5.ไม่สัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งไม่ควรสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ เพราะมือมีเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก อาจทำให้ปัญหาสิวแย่ลง

6.หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นสิว
เมื่อเป็นสิวหัวแข็งควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง นมวัว อาหารทอด และอาหารแปรรูป เพราะอาจกระตุ้นให้สิวเพิ่มขึ้น

สิวหัวแข็งหายเองได้ไหม
คำตอบคือ สิวหัวแข็ง (สิวอุดตันหัวปิด) อาจหายเองได้ แต่ใช้เวลานาน และมีโอกาสพัฒนาเป็นสิวอักเสบ ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ดูแลอย่างเหมาะสม

ปัจจัยที่ทำให้สิวหัวแข็งหายเองได้
• กระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ - ผิวมีการผลัดเซลล์และขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขนเอง แต่กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
• ฮอร์โมนที่สมดุลขึ้น - ในบางกรณีที่สิวเกิดจากฮอร์โมน หากฮอร์โมนกลับมาอยู่ในระดับปกติ สิวอาจลดลงเอง
• ดูแลผิวอย่างเหมาะสม - หากหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น อาหารที่ก่อให้เกิดสิว หรือการใช้ผลิตภัณฑ์อุดตันรูขุมขน อาจช่วยให้สิวค่อยๆ ดีขึ้น

กรณีที่สิวหัวแข็งไม่หายเอง
• หากรูขุมขนอุดตันลึกและแน่นมาก - สิวหัวแข็งบางชนิดอาจอยู่ใต้ผิวหนังเป็นเวลานาน และไม่สามารถหายไปเอง
• อาจพัฒนาเป็นสิวอักเสบ - ถ้าต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไปและมีเชื้อแบคทีเรียเข้ามา สิวหัวแข็งอาจกลายเป็นสิวอักเสบที่เจ็บและเกิดรอยแผลเป็น
• สิวหัวแข็งจากฮอร์โมนที่ไม่สมดุล - หากสิวเกิดจากฮอร์โมนที่ไม่สมดุล เช่น ในช่วงวัยรุ่น หรือผู้ที่มีภาวะ PCOS (ถุงน้ำรังไข่) สิวอาจไม่หายเอง

สิวหัวดำแข็ง ๆ อันตรายไหม
โดยทั่วไป สิวหัวดำแข็ง ๆ หรือสิวหัวแข็ง ไม่ได้อันตรายร้ายแรง ในกรณีที่มีน้อยและดูแลรักษาอย่างถูกต้องก่อนลุกลาม แต่หากมีสิวหัวแข็งจำนวนมากและปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจทำให้เกิดปัญหาผิวในระยะยาว เช่น อักเสบ ติดเชื้อ เกิดรอยแผลเป็นจากสิว หรือหลุมสิว

สาเหตุของสิวหัวดำแข็ง ๆ
• สิวหัวแข็งเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยมีไขมัน (Sebum) และเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมตัวกัน
• สิวหัวแข็งที่มีสีดำเพราะไขมันที่สัมผัสอากาศ แล้วเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation)
• หากสิวหัวแข็งมีสีดำและฝังลึก อาจเกิดจากไขมันที่แข็งตัวและสะสมเป็นเวลานาน

เมื่อไหร่ที่สิวหัวดำแข็ง ๆ อาจเป็นอันตราย
• หากมีการอักเสบของสิวหัวแข็ง - ถ้าสิวหัวดำแข็งเริ่ม บวม แดง หรือเจ็บ อาจเกิดการติดเชื้อและกลายเป็น สิวอักเสบ
• หากสิวหัวแข็งมีขนาดใหญ่ผิดปกติ - อาจไม่ใช่แค่สิวธรรมดา แต่เป็น ซีสต์ไขมัน (Sebaceous Cyst) หรือ ตุ่มเนื้องอกใต้ผิวหนัง
• หากพยายามบีบหรือกดสิวหัวแข็งออกเอง - อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขน ทำให้เกิด สิวอักเสบ รอยแดง หรือแผลเป็น

สรุปสิวหัวแข็งสีดำอันตรายไหม
• สิวหัวดำแข็ง ๆ หรือสิวหัวแข็ง ไม่อันตราย แต่ถ้าปล่อยไว้อาจอักเสบหรือกลายเป็นสิวเรื้อรัง
• หากสิวหัวแข็งมากและไม่หลุดเอง ควรพบแพทย์ แทนการบีบออกเอง
• สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายหัวสิว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

หากสิวหัวดำหรือสิวหัวแข็งมีมากและไม่หาย อาจต้องใช้วิธีกดสิว ทำเลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ เพื่อรักษาสิวหัวแข็งอย่างปลอดภัย

สิวหัวแข็งสามารถกดเองได้ไหม
คำตอบคือ ไม่แนะนำให้กดสิวหัวแข็งเอง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาผิว เช่น สิวอักเสบ รอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็น หากกดสิวผิดวิธี

ทำไมไม่ควรกดสิวหัวแข็งเอง
• ไม่ควรกดสิวหัวแข็งเองเพราะอาจกดไม่หมดและอุดตันซ้ำ สิวหัวแข็งมักฝังลึก หากกดออกไม่หมด อาจทำให้สิวกลับมาอุดตันซ้ำ
• ไม่ควรกดสิวหัวแข็งเองเพราะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ หากกดแรงเกินไป ผิวอาจได้รับบาดเจ็บและทำให้เกิดสิวอักเสบ
• ไม่ควรกดสิวหัวแข็งเองเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มือและอุปกรณ์ที่ไม่สะอาดอาจนำเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขน
• ไม่ควรกดสิวหัวแข็งเองเพราะจะเกิดรอยดำและหลุมสิว การกดสิวแรงเกินไปอาจทำให้เกิดรอยดำหรือแผลเป็นหลุมสิว

ทำไมสิวหัวแข็งถึงบีบไม่ออก
สิวหัวแข็ง หรือ สิวอุดตันหัวปิด เป็นสิวที่ฝังลึกและมีชั้นผิวหนังปิดทับอยู่ ทำให้ไม่สามารถบีบออกได้ง่ายเหมือนสิวหัวเปิด โดยมีสาเหตุที่สิวหัวแข็งบีบไม่ออก ดังนี้

1.สิวอุดตันอยู่ลึกเกินไป
• สิวหัวแข็งมักเกิดจากการสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วจึงอยู่ลึกใต้ผิว
• สิวหัวแข็งไม่มีรูเปิดที่ผิวหนัง จึงไม่สามารถบีบออกได้ง่าย

2.ไขมันที่อุดตันมีลักษณะแข็งตัว
• ไขมัน (Sebum) และเคราตินที่สะสมเป็นเวลานาน อาจกลายเป็นก้อนแข็ง ฝังแน่นในรูขุมขน
• การบีบสิวหัวแข็งเองไม่สามารถดึงไขมันแข็งนี้ออกมาได้ทั้งหมด

3.สิวยังไม่สุก หรือหัวสิวไม่เปิด
ถ้าสิวหัวแข็งยังไม่พัฒนาเต็มที่ การบีบออกจะทำได้ยาก และอาจทำให้เกิดการอักเสบแทน

4.รูขุมขนถูกปิดกั้นด้วยชั้นผิวหนัง
• บางครั้งผิวหนังชั้นบนหนาเกินไป ทำให้สิวหัวแข็งไม่สามารถทะลุออกมาเองได้
• การรักษาสิวหัวแข็งจำเป็นต้องใช้วิธีช่วยผลัดเซลล์ผิวให้รูขุมขนเปิด

5.บีบผิดวิธีหรือใช้แรงมากเกินไป
• หากบีบสิวหัวแข็งโดยใช้แรงมากไป อาจทำให้ผิวช้ำหรือเป็นแผลโดยที่หัวสิวยังไม่ออก
• การบีบสิวหัวแข็งผิดตำแหน่งอาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้น

สรุปเกี่ยวกับสิวหัวแข็ง
สรุปว่า สิวหัวแข็งเป็นปัญหาผิวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง สิวหัวแข็งอาจนำไปสู่สิวอักเสบหรือทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนผิว การเข้าใจสาเหตุของสิวหัวแข็ง รวมถึงวิธีรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการเลือกใช้เทคโนโลยีรักษาสิว เช่น AviClear หรือ Accure Laser สามารถช่วยลดสิวหัวแข็งและปัญหาสิวอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับผู้ที่มีสิวหัวแข็งหรือปัญหาสิวที่รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้ผิวแข็งแรง เรียบเนียน และลดโอกาสเกิดสิวซ้ำซากได้ดีที่สุด ผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายปรึกษาแพทย์ได้ที่ รมย์รวินท์ คลินิก

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
โปรโมชั่นต่างๆ
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ