romrawin

ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า คืออะไร สาเหตุเกิดจาก กี่วันหาย ควรรักษาวิธีไหนดี

ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า

411

ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า คืออะไร กี่วันหาย รักษาวิธีไหนดี
รอยแผลเป็นบนใบหน้าเป็นปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้ใครหลายคน เพราะส่งผลทั้งด้านความสวยงาม บุคลิกภาพ และความมั่นใจ ไม่ว่าจะเกิดจากสิวอักเสบ การบาดเจ็บ อุบัติเหตุ หรือการผ่าตัด เมื่อแผลหายแล้วก็มักทิ้งร่องรอยไว้ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนและดูไม่สดใส ปัจจุบันมีการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าทั้งวิธีธรรมชาติและหัตถการทางการแพทย์ ที่ช่วยลดเลือนและแก้ไขรอยแผลเป็นให้จางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ที่ต้องการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า การทำความเข้าใจสาเหตุ ลักษณะ และวิธีการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลผิวให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง

รอยแผลเป็นบนใบหน้าคืออะไร
ก่อนไปรู้ว่าวิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้ามีอะไรบ้าง มาทำความรู้จัก รอยแผลเป็นบนใบหน้า คือ ร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากผิวหนังได้รับบาดเจ็บและผ่านกระบวนการสมานแผล ไม่ว่าจะเกิดจากสิว การอักเสบ การผ่าตัด อุบัติเหตุ หรือการแกะเกาจนผิวเสียหาย เมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่เพื่อซ่อมแซมผิว กระบวนการสมานแผลอาจไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดรอยผิดปกติคงอยู่บนผิวหนัง

โดยทั่วไปรอยแผลเป็นบนใบหน้าสามารถแบ่งออกได้หลายลักษณะ เช่น

• รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar / Keloid) เกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไป แผลจึงนูนแข็งและเห็นชัด
- Hypertrophic scar มักนูนเฉพาะในขอบแผล
- Keloid จะนูนล้ำออกมานอกขอบแผล และบางครั้งอาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย

• รอยแผลเป็นบุ๋ม (Atrophic scar) พบได้บ่อยหลังสิวอักเสบรุนแรง ผิวเกิดการยุบตัวลงเพราะเนื้อเยื่อคอลลาเจนถูกทำลาย ทำให้เกิดหลุมสิวหรือรอยบุ๋มลึก

• รอยแผลเป็นสีผิวผิดปกติ (Post-inflammatory Hyperpigmentation/Redness)
- รอยแดง (Post-inflammatory erythema) มักเกิดใหม่ ๆ หลังสิวหาย เกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิว
- รอยดำ/รอยคล้ำ (Hyperpigmentation) เกิดจากเม็ดสีเมลานินสะสมมากขึ้นหลังแผลหรือสิวอักเสบ

สรุปง่าย ๆ ก็คือ รอยแผลเป็นบนใบหน้า คือผลลัพธ์ของกระบวนการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งลักษณะของรอยที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุ ความรุนแรงของแผล และการดูแลรักษาในช่วงที่ผิวยังฟื้นฟูอยู่

รอยแผลเป็นบนใบหน้าเกิดจากอะไร
รอยแผลเป็นบนใบหน้า เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังที่ไม่สมบูรณ์ หลังจากผิวได้รับบาดเจ็บหรือเกิดการอักเสบ เมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิว หากสร้างมากหรือน้อยเกินไปก็จะทิ้งร่องรอยไว้เป็นแผลเป็นในรูปแบบต่าง ๆ สาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้

1.สิวอักเสบและสิวเรื้อรัง
• สิวหัวหนองหรือสิวอักเสบรุนแรง ทำลายเซลล์ผิวและคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง
• เมื่อสิวหาย ผิวหนังซ่อมแซมไม่ทันหรือสร้างคอลลาเจนไม่พอ เกิดเป็นหลุมสิว/รอยบุ๋ม
• เมื่อสิวหาย ถ้าร่างกายซ่อมแซมมากเกินไป อาจกลายเป็นรอยนูนหรือคีลอยด์

2.การบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุบนใบหน้า
• แผลถลอก แผลตัด หรือการถูกของมีคมบาด
• หากแผลลึกหรือดูแลไม่ดี มีโอกาสสูงที่จะเกิดแผลเป็น

3.การผ่าตัดหรือทำหัตถการ
• การผ่าตัดเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น ผ่าซีสต์ กำจัดไฝ หรือตัดติ่งเนื้อ
• ถ้าแผลหายไม่เรียบ หรือเกิดการดึงรั้งของผิว ทำให้เห็นเป็นรอยชัด

4.การเกา แกะสิว หรือบีบสิว
• การกดสิวผิดวิธีทำให้ผิวช้ำและอักเสบหนักขึ้น
• ผิวหนังเกิดการแตก ทำให้ร่างกายซ่อมแซมมากเกินไป เกิดแผลนูน หรือเกิดรอยดำ/รอยแดง

5.การติดเชื้อหรือการอักเสบจากผิวหนัง
• เช่น อีสุกอีใส, โรคผิวหนังอักเสบ
• หลังแผลหายอาจทิ้งรอยบุ๋มหรือรอยคล้ำไว้

6.พันธุกรรมและการตอบสนองของร่างกาย
• บางคนมีแนวโน้มสร้างคีลอยด์ง่ายกว่าคนทั่วไป
• ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของระบบฟื้นฟูผิวแต่ละคน

7.ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
• อายุ คนอายุน้อยมักสร้างคอลลาเจนมากกว่า มีโอกาสเกิดคีลอยด์
• สีผิว คนผิวคล้ำมักเกิดรอยดำหลังแผลได้ง่าย
• การดูแลหลังเกิดแผล ถ้าไม่ได้ป้องกันแดดหรือดูแลรักษา อาจทำให้รอยเข้มและเห็นชัดขึ้น

ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าคืออะไร
การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า คือ การดูแลรักษาหรือแก้ไขร่องรอยผิดปกติที่เกิดขึ้นบนผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยบุ๋ม รอยนูน รอยแดง หรือรอยดำ ที่เกิดจากสิว การบาดเจ็บ การผ่าตัด หรือปัญหาผิวอื่น ๆ เพื่อทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ และลดความชัดเจนของแผลเป็นลง

เป้าหมายหลักของการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า คือ
• ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยให้ผิวเรียบเนียนใกล้เคียงผิวปกติ
• ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยลดความแตกต่างของสีผิว (เช่น รอยแดง รอยดำ)
• ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน
• ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นลุกลามหรือแย่ลง

ข้อดีของการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
ข้อดีของการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านจิตใจ บุคลิกภาพ และสุขภาพผิว โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

1.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง
• ผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นช่วยให้กล้าแสดงออกมากขึ้น
• ลดความกังวลเมื่อต้องพบปะผู้คน
• รู้สึกดีขึ้นกับรูปลักษณ์ของตัวเอง

2.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยปรับบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้น
• หน้าตาดูสดใสและเป็นมิตรขึ้น
• ส่งผลทางอ้อมต่อภาพลักษณ์ในสังคมและโอกาสในด้านต่าง ๆ เช่น การทำงาน การเข้าสังคม

3.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนและสม่ำเสมอ
• ลดความขรุขระของผิวจากหลุมสิวหรือรอยบุ๋ม
• รอยนูนหรือคีลอยด์ดูจางลง ไม่เด่นชัด
• สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้นจากการลดรอยดำและรอยแดง

4.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยให้แต่งหน้าง่ายขึ้น
• รองพื้นและเครื่องสำอางปกปิดได้เรียบเนียนกว่าเดิม
• ไม่ต้องใช้เมคอัพหนาเพื่อปกปิดรอยแผลเป็น

5.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูผิวและสุขภาพผิวดีขึ้น
• การรักษาบางวิธี เช่น เลเซอร์, Microneedling, PRP จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
• ผิวแข็งแรงขึ้น ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิม
• ลดโอกาสเกิดแผลเป็นซ้ำในอนาคต

6.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าส่งผลทางจิตใจและอารมณ์
• ลดความเครียดและความรู้สึกไม่มั่นใจที่เกิดจากรอยแผลเป็น
• ส่งผลบวกต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต

ใครที่เหมาะลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าไม่ใช่ว่าทุกคนจำเป็นต้องทำ แต่จะเหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหาผิวหรือความกังวลบางอย่างเป็นพิเศษ โดยสามารถแบ่งกลุ่มคนที่เหมาะเข้ารับการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าได้ดังนี้

1.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเหมาะกับผู้ที่มีรอยแผลเป็นจากสิว
• คนที่มีหลุมสิว รอยบุ๋ม จากสิวอักเสบรุนแรง
• ผู้ที่มีรอยแดง รอยดำ หลังสิวหาย ซึ่งทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน

2.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเหมาะกับผู้ที่มีรอยแผลเป็นจากการบาดเจ็บหรือผ่าตัด
• อุบัติเหตุ เช่น แผลถลอก แผลถูกของมีคมบาด
• หลังผ่าตัดเล็ก ๆ บนใบหน้า เช่น ผ่าซีสต์ กำจัดไฝ ติ่งเนื้อ
• เมื่อแผลหายแล้วทิ้งรอยชัดเจนจนทำให้ขาดความมั่นใจ

3.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเหมาะกับผู้ที่มีแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์
• แผลเป็นที่นูนแข็งหรือโตเกินขอบแผลเดิม
• อาจมีอาการคัน เจ็บ หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
• เหมาะสำหรับการรักษาด้วยวิธีฉีดยาหรือเลเซอร์เพื่อลดการนูน

4.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับบุคลิกภาพและความมั่นใจ
• ผู้ที่รู้สึกกังวล ไม่มั่นใจในการเข้าสังคมหรือทำงาน
• อยากให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน สวยงามขึ้น

5.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเหมาะกับผู้ที่แต่งหน้าแล้วปกปิดยาก
• คนที่ต้องใช้รองพื้นหรือคอนซีลเลอร์หนา ๆ เพื่อปกปิดรอย
• เมื่อรอยแผลเป็นลดลงจะช่วยให้แต่งหน้าง่ายและบางเบาขึ้น

6.การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพผิวร่วมด้วย
• ผิวอ่อนแอจากแผลเป็นจำนวนมาก
• ต้องการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

แนะนำวิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้ามีทั้งวิธีธรรมชาติและหัตถการทางการแพทย์ ซึ่งแต่ละวิธีเหมาะสมกับชนิดและความรุนแรงของรอยแผลเป็นแตกต่างกันไป

วิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าแบบธรรมชาติ
เป็นวิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเหมาะสำหรับรอยแผลเป็นใหม่ รอยแดง รอยดำ ที่ไม่รุนแรงมาก

1.ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้วยว่านหางจระเข้
• มีสารอะโลอิน (Aloin) ช่วยลดรอยดำ รอยแดง
• กระตุ้นการสมานแผลและฟื้นฟูผิว
• วิธีใช้ ทาเจลว่านหางจระเข้สดหรือเจลสกัด ทิ้งไว้ 15–20 นาที แล้วล้างออก

2.ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้วยน้ำมันมะพร้าว
• อุดมไปด้วยวิตามินอีและกรดไขมัน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
• ลดการอักเสบและทำให้รอยดูจางลง
• วิธีใช้ นวดเบา ๆ บริเวณรอยแผลเป็นวันละ 1–2 ครั้ง

3.ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้วยน้ำผึ้ง
• มีสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
• กระตุ้นการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติ
• วิธีใช้ พอกผิวหน้าก่อนนอนแล้วล้างออกตอนเช้า

4.ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้วยเลมอน / มะนาว
• มีวิตามินซีสูง ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยดำ
• ต้องระวัง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและไวต่อแดด
• วิธีใช้ ผสมน้ำเลมอนเจือจาง ทาบริเวณรอยดำสั้น ๆ แล้วล้างออกทันที

5.ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้วยน้ำมันทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil)
• มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบของสิวและแผล
• ใช้เฉพาะกับรอยสิวและรอยแดงจาง ๆ
• วิธีใช้ หยดผสมกับน้ำมันตัวพา (Carrier oil) เช่น น้ำมันมะกอก ก่อนทา

วิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้วยหัตถการทางการแพทย์
เป็นวิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเหมาะสำหรับแผลเป็นที่รุนแรง เช่น หลุมสิว รอยบุ๋ม รอยนูน หรือคีลอยด์

1.เลเซอร์ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
• Fractional CO2 Laser, Pico Laser
• ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับผิวให้เรียบเนียน ลดรอยดำ-รอยแดง
• เหมาะกับหลุมสิวและรอยสีผิวไม่สม่ำเสมอ

2.Subcision ตัดพังผืดใต้ผิว ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
• ใช้เข็มตัดเส้นพังผืดที่ดึงรั้งผิวลงไป
• เหมาะกับ รอยแผลเป็นบุ๋ม/หลุมสิว
• ทำให้ผิวเรียบขึ้นและกระตุ้นคอลลาเจน

3.การฉีดฟิลเลอร์ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
• เติมเต็มรอยบุ๋มหรือหลุมสิวให้เรียบเสมอผิว
• เห็นผลในเวลาไม่นาน แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวร (อยู่ได้ 6–12 เดือน)

4.Microneedling ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
• ใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• มักทำควบคู่กับการทายา เซรั่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

5.การฉีดสเตียรอยด์ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
• ใช้กับแผลเป็นนูนและคีลอยด์
• ลดการสร้างคอลลาเจนเกิน ทำให้แผลนูนแบนราบลง

ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้ากี่ครั้งถึงเห็นผล
การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าโดยทั่วไปจะต้องทำการรักษาหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับลักษณะและชนิดของแผลเป็น รวมถึงวิธีการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่ใช้ โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องทำเลเซอร์ประมาณ 3-5 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 4-8 สัปดาห์ เพื่อเห็นผลการลดเลือนรอยแผลเป็นอย่างชัดเจน บางกรณีอาจต้องมากกว่านี้ตามความรุนแรงของแผลเป็นและการตอบสนองของผิวแต่ละบุคคล

โปรแกรม Pico Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นิยมสำหรับลบรอยแผลเป็นแนะนำให้ทำประมาณ 3-5 ครั้งห่างกัน 2-4 สัปดาห์ และผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามจำนวนครั้งที่ทำ ส่วนการรักษารอยแผลเป็นอื่นๆ เช่น การใช้ยาทา, ฟิลเลอร์เติมเต็ม, หรือการลอกผิวด้วยกรดผลไม้ จะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนจำนวนครั้งที่เหมาะสม

ดังนั้น หากต้องการเห็นผลลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ควรเตรียมตัวทำการรักษาซ้ำๆ อย่างน้อย 3-5 ครั้งในระยะเวลาห่างกันประมาณ 1 เดือน โดยควรทำภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าอยู่ได้นานถาวรไหม
การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าไม่มีวิธีใดที่ทำให้หายขาดถาวร เนื่องจากแผลเป็นเกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวที่มีเนื้อเยื่อแตกต่างจากผิวปกติ การรักษา เช่น เลเซอร์, การใช้ยา ทาฟิลเลอร์ หรือการฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ สามารถช่วยลดเลือน ทำให้รอยแผลเป็นดูจางลง เรียบเนียนขึ้น และปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นได้มาก แต่ผลลัพธ์มักเป็นการฟื้นฟูสภาพผิวหน้า ไม่ใช่การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าจนหายไปถาวร

ผลการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าจะคงอยู่เป็นระยะเวลานาน ขึ้นเมื่อมีการดูแลผิวอย่างต่อเนื่องและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น รังสีUV หรือแรงกดดันบริเวณแผลเป็น แต่แผลเป็นอาจกลับมาเห็นชัดขึ้นได้ในบางกรณี เช่น เมื่อผิวถูกทำร้ายใหม่ แผลเป็นนูนอาจกลับมา และบางวิธีเช่นการฉีดฟิลเลอร์ให้ผลชั่วคราว ประมาณ 6-18 เดือน จึงต้องฉีดซ้ำ

สรุปคือการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าทำให้แผลเป็นดูดีขึ้นมาก แต่ไม่หายขาดอย่างถาวร ต้องมีการดูแลและอาจต้องทำซ้ำตามคำแนะนำแพทย์

ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าอันตรายไหม
การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าส่วนใหญ่ไม่ถือว่าเป็นอันตราย หากทำโดยแพทย์และใช้วิธีการที่เหมาะสม ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน โดยทั่วไปมีหลายวิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า เช่น เลเซอร์, การใช้ยาทา, การฉีดยาสเตียรอยด์, การผ่าตัด และการลอกผิว ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม บางวิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าอาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น แสบ แดง แพ้ หรือเกิดการอักเสบได้หากดูแลไม่ถูกวิธี หรือทำที่สถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ การแกะ แคะ หรือเกาที่รอยแผลจะทำให้เกิดการอักเสบและแผลเป็นนูนได้ง่ายขึ้น จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเสี่ยงและได้ผลลัพธ์ที่ดี

สรุปคือการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าโดยวิธีทางการแพทย์ที่ถูกต้องและได้รับการดูแลที่ดีส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย แต่ควรระวังเรื่องการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นถ้าไม่ดูแลหรือรักษาผิดวิธี

ลบรอยแผลเป็นบนใบหน้ามีผลข้างเคียงไหม
การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้ามีผลข้างเคียงได้ตามประเภทการรักษาและสภาพผิวของแต่ละคน ผลข้างเคียงที่พบโดยทั่วไปจากการใช้เลเซอร์รักษา เช่น อาการแสบร้อน แดง บวม ผิวตกสะเก็ด คันเล็กน้อย หรือผิวพองเป็นตุ่มน้ำ ซึ่งมักเป็นอาการชั่วคราวและจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน

อย่างไรก็ตาม บางวิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าอาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้ เช่น ผิวไหม้เป็นแผลพุพอง เกิดรอยดำ ผิวอักเสบหรือติดเชื้อ หากเครื่องมือหรือเทคนิคใช้ไม่ถูกต้อง รวมถึงการดูแลหลังการรักษาไม่ดีพอ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเกิดแผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) หรือแผลคีลอยด์ (Keloids) ซึ่งเป็นแผลเป็นนูนที่มีสีแดงคล้ำและอาจมีอาการคันหรือเจ็บ ซึ่งต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง

ดังนั้นการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าควรทำโดยแพทย์ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และปฏิบัติตามคำแนะนำหลังทำอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเสี่ยงและผลข้างเคียงต่าง ๆ

ข้อควรระวังในการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า แม้จะช่วยให้ผิวดูดีขึ้น แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งข้อควรระวังในการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า มีดังนี้

1.เลือกวิธีที่เหมาะสมกับชนิดของแผลเป็น
• รอยบุ๋ม/หลุมสิว เหมาะกับการทำ Subcision, ฉีดฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์
• รอยนูน/คีลอยด์ เหมาะกับการฉีดสเตียรอยด์หรือลดด้วยเลเซอร์บางชนิด
• รอยดำ/รอยแดง สามารถใช้ครีมลดรอย วิตามินซี หรือเลเซอร์เฉพาะทาง
• หากเลือกวิธีไม่ตรงกับปัญหา อาจไม่เห็นผลหรือทำให้รอยแผลเป็นชัดขึ้นกว่าเดิม

2.ทำกับแพทย์และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
• ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและผลข้างเคียงรุนแรง
• ได้รับการดูแลด้วยอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน
• หัตถการหลายอย่าง เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ Subcision ต้องใช้ความชำนาญสูง

3.ระวังการแพ้หรือระคายเคืองจากครีมหรือสมุนไพร
• ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง
• สารธรรมชาติ เช่น น้ำมะนาว อาจทำให้ผิวบางและไวต่อแดด
• ครีมหรือเจลลดรอยบางชนิดมีกรดผลไม้หรือเรตินอล ซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองได้หากใช้ไม่ถูกวิธี

4.ป้องกันแสงแดดหลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
• หลังทำหัตถการผิวจะบอบบางและไวต่อแสง
• หากละเลยการทาครีมกันแดด อาจทำให้รอยดำหรือรอยใหม่เกิดขึ้นได้

5.ทำความเข้าใจเรื่องระยะเวลาและผลลัพธ์
• ไม่สามารถลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าให้หายไปได้ถาวร
• ส่วนใหญ่ต้องทำซ้ำหลายครั้งจึงจะเห็นผล
• ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และการดูแลหลังทำ

6.ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
• รอยแดง บวม หรือช้ำเล็กน้อยหลังทำเลเซอร์หรือ Subcision ซึ่งจะหายเองภายในไม่กี่วัน
• ฟิลเลอร์ หากฉีดโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ อาจเกิดก้อนแข็งหรืออุดตันเส้นเลือดได้
• การฉีดสเตียรอยด์มากเกินไป อาจทำให้ผิวบางหรือเกิดรอยบุ๋มถาวร

7.ไม่ควรลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าขณะมีแผลสดหรือสิวอักเสบ
• หากผิวยังอักเสบหรือมีสิวหนอง ควรรอให้หายก่อน
• การทำหัตถการในช่วงที่ผิวยังมีปัญหาอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อและทำให้แผลเป็นแย่ลง

การเตรียมตัวก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
การเตรียมตัวก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและทำให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยสามารถเตรียมตัวได้ดังนี้

1.ปรึกษาแพทย์ก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
• แจ้งประวัติการเจ็บป่วย โรคประจำตัว และการใช้ยาทุกชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด สเตียรอยด์ หรือยารักษาสิว
• ให้แพทย์ประเมินชนิดของรอยแผลเป็น ความรุนแรง และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม

2.ก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสารบางชนิด
• หยุดยาที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น แอสไพริน วิตามินอี หรือสมุนไพรบางชนิด อย่างน้อย 5–7 วัน (ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์)
• หลีกเลี่ยงครีมหรือยาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ (AHA, BHA) หรือเรตินอล ก่อนเข้ารับการรักษา 3–5 วัน

3.ก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้างดการทำหัตถการหรือทรีตเมนต์อื่น ๆ บนใบหน้า
• หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์, สครับผิว, ผลัดเซลล์ผิวแรง ๆ ก่อนเข้ารับการรักษา
• เพื่อป้องกันการระคายเคืองและลดความเสี่ยงของการอักเสบ

4.ก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าป้องกันแสงแดด
• ทาครีมกันแดดเป็นประจำอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการรักษา
• หลีกเลี่ยงการตากแดดจัดหรือทำให้ผิวคล้ำเสีย เพราะจะมีผลต่อประสิทธิภาพการรักษาและเพิ่มความเสี่ยงต่อรอยดำ

5.ก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าพักผ่อนให้เพียงพอและดูแลสุขภาพ
• นอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
• หากมีสิวอักเสบหรือแผลสด ควรรักษาให้หายก่อน

6.ก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าทำความเข้าใจในผลลัพธ์
• การลบรอยแผลเป็นช่วยให้รอยจางลงและผิวดูเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้หายไป 100%
• อาจต้องทำหลายครั้งต่อเนื่อง และใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะเห็นผลชัดเจน

7.ก่อนลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าวางแผนการใช้ชีวิต
• บางวิธี เช่น เลเซอร์ หรือ Subcision อาจทำให้เกิดรอยแดง บวม หรือช้ำหลังทำ ควรเว้นช่วงเวลาให้ผิวพักก่อนมีงานสำคัญ
• เตรียมหมวก แว่นตากันแดด และครีมกันแดดสำหรับดูแลหลังการรักษา

การดูแลตัวเองหลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
การดูแลตัวเองหลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะช่วยให้ผิวฟื้นตัวในเวลาไม่นาน ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง และทำให้ผลลัพธ์จากการรักษาเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น แนวทางการดูแลหลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า มีดังนี้

1.หลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
• ใช้ยาหรือครีมบำรุงที่แพทย์สั่งเท่านั้น
• หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงรุนแรง เจ็บมาก หรือมีหนอง ควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที

2.หลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าดูแลความสะอาดผิวหน้า
• ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการขัดถูแรง ๆ
• งดใช้สครับหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวแรง ๆ จนกว่าผิวจะหายดี

3.หลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าป้องกันแสงแดด
• ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน
• หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด และควรสวมหมวกหรือกางร่มเมื่อต้องออกกลางแจ้ง
• การป้องกันแดดช่วยลดโอกาสการเกิดรอยดำหรือรอยใหม่หลังการรักษา

4.หลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าและใช้สารเคมีแรง ๆ
• หลังทำหัตถการ เช่น เลเซอร์ หรือ Subcision ควรงดแต่งหน้าหรือทาครีมที่มีสารระคายเคืองอย่างน้อย 2–3 วัน
• หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ควรเลือกเครื่องสำอางสูตรอ่อนโยนและล้างออกให้สะอาด

5.หลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะเกา
• ไม่ควรแกะสะเก็ดหรือรอยแดงที่เกิดขึ้น เพราะอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นใหม่
• หากมีอาการคัน ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อขอยาทาบรรเทา

6.หลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเพื่อฟื้นฟูผิว
• เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงและไม่มีน้ำหอม
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว เช่น สารสกัดว่านหางจระเข้ เซราไมด์ หรือกรดไฮยาลูรอนิค

7.หลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าควรพักผ่อนและดูแลสุขภาพ
• พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และสังกะสี ซึ่งช่วยในการสมานแผล

8.หลังลบรอยแผลเป็นบนใบหน้านัดติดตามผลตามกำหนด
• เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา และปรับวิธีการหรือยาที่ใช้หากจำเป็น
• บางวิธี เช่น เลเซอร์หรือ Subcision ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นใหม่บนใบหน้า
การป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นใหม่บนใบหน้า สำคัญกว่าการรักษาภายหลัง เพราะเมื่อแผลเป็นเกิดขึ้นแล้วมักรักษาได้ยากและใช้เวลานาน การดูแลรักษาแผลที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้มาก แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นมีดังนี้

1.รักษาสิวอย่างถูกวิธี
• ไม่ควรบีบ แกะ หรือกดสิวเอง เพราะจะทำให้ผิวอักเสบและกลายเป็นรอยแผลเป็น
• หากมีสิวอักเสบรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น ยาทา ยากิน หรือหัตถการ

2.ดูแลแผลทันทีที่เกิดขึ้น
• ล้างทำความสะอาดแผลอย่างอ่อนโยน ไม่ให้สิ่งสกปรกตกค้าง
• ใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาทาแผลตามความเหมาะสม
• ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าก๊อซหากจำเป็น เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดการเกา

3.หลีกเลี่ยงการเกา แกะ หรือสัมผัสแผลบ่อย ๆ
• พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้แผลอักเสบมากขึ้นและหายช้า
• มีโอกาสสูงที่จะทิ้งรอยบุ๋มหรือรอยนูนถาวร

4.ป้องกันแสงแดด
• รังสี UV กระตุ้นการสร้างเม็ดสี ทำให้รอยดำและรอยแดงหลังสิวเข้มขึ้น
• ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน และทาซ้ำระหว่างวันหากต้องออกแดด

5.ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม
• เลือกครีมหรือเจลลดรอยแผลที่มีส่วนผสมช่วยสมานผิว เช่น วิตามินซี วิตามินอี อัลลานโทอิน หรือเซราไมด์
• หลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือยาที่แรงเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผิวบางและระคายเคือง

6.รับประทานอาหารที่ช่วยฟื้นฟูผิว
• เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง เพื่อช่วยการสมานแผล
• วิตามินซีและสังกะสี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดการอักเสบ
• ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น

7.ดูแลสุขภาพผิวโดยรวม
• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพราะฮอร์โมนความเครียดกระตุ้นให้สิวอักเสบมากขึ้น
• รักษาความสะอาดของผิวหน้า โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน

8.พบแพทย์หากมีปัญหาผิวอักเสบรุนแรง
• แผลลึก สิวอักเสบขนาดใหญ่ หรือผิวติดเชื้อ ควรได้รับการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังทันที
• เพื่อป้องกันไม่ให้แผลทิ้งรอยถาวรในอนาคต

สรุปเกี่ยวกับลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า
สรุปว่าการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าไม่ใช่เรื่องอันตราย หากทำโดยแพทย์ในคลินิกที่มีมาตรฐาน และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวและชนิดของแผลเป็น แม้ว่าจะไม่สามารถลบรอยแผลเป็นออกได้ทั้งหมด แต่สามารถช่วยให้รอยจางลง ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และเพิ่มความมั่นใจได้อย่างมาก ทั้งนี้ควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการรักษา ดูแลผิวหลังทำอย่างถูกวิธี และป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นใหม่ด้วยการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง การใส่ใจและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และช่วยให้ผิวหน้ากลับมากระจ่างใสเรียบเนียนอย่างดูเป็นธรรมชาติอีกครั้ง

* ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล
* เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
* ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง*
แนะนำให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับบริการ
เพื่อความชัวร์และได้สิทธิ์ที่คุ้มที่สุดค่ะ
ปรึกษาฟรี พร้อมรับ โปรโมชั่นพิเศษ ก่อนใคร
โปรโมชั่นต่างๆ
เรื่อง โปรแกรมดูแลผิวหน้า ที่คุณอาจสนใจ